“ธนาธร” ปลุกมวลชน ประกาศตั้ง “คณะอนาคตใหม่” สานต่อจิตวิญญาณก้าวหน้า

เมื่อเวลา 17.45 น. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ส.ส.ของพรรคร่วมกันแถลงข่าวถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค แถลงว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยยืนยันเอาไว้ว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ผมในฐานะปวงชนชาวไทยผู้ทรงอำนาจอธิปไตยขอใช้สิทธิในการวิจารณ์และไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจตุลาการตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจอธิปไตย เมื่อผมเป็นเจ้าของหนึ่งในอำนาจอธิปไตยด้วย จึงมีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นี่คือการวิจารณ์แสดงความคิดเห็นอย่างสุจริตใจ เพื่อจรรโลงประชาธิปไตยและการแบ่งแยกอำนาจตรวจสอบถ่วงดุลสามารถดำรงอยู่ได้ ไม่ใช่ละเมิดอำนาจศาล ดูหมิ่นศาล แต่คือการวิจารณ์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของประชาธิปไตยในประเทศไทย

ในทากฎหมายคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ได้ส่งผลดังต่อไปนี้ 1.พรรคการเมืองที่รวมตัวกันของปัจเจกบุคคล รวมตัวแล้วไปจดทะเบียน กกต.จึงก่อตั้งเป็นพรรคการเมืองได้ ไม่ได้ถือครองอำนาจรัฐ ไม่ได้ใช้อำนาจมหาชน สถานะบุคลากรในพรรคการเมืองมิใช่เจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการ แต่ ณ วันนี้ จากนิติบุคคลเอกชน ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ พรรคการเมืองกลายเป็นนิติบุคคลมหาชนไปเรียบร้อยแล้ว 2. เงินกู้อาจากลายเป็นเงินบริจาค อาจกลายเป็นประโยชน์อื่นใดได้ทันทีถ้าศาลรัฐธรรมนูญประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น ดังนั้น พรรคการเมืองทุกพรรคที่กู้เงินกันอยู่ในเวลานี้ โปรดระมัดระวังว่าอาจถูกศาลรัฐธรรมนูญตีความให้กลายเป็นเงินบริจาค หรือเป็นประโยชน์อื่นใดเกิน 10 ล้านบาทได้

3.การใช้มาตรา 72 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย ต่อไปนี้ทุกๆ ความผิดเกี่ยวกับการเงินในกฎหมายพรรคการเมืองซึ่งมีบทกำหนดโทษอยู่แล้ว แต่ต่อไปนี้หากกระทำผิดจะส่งผลให้ถูกยุบพรรคทันที

“ในเมื่อมาตรา 66 หากพรรคการเมืองใดทำผิดจริงมีโทษของมันอยู่แล้ว แต่ ณ วันนี้ถ้าทำผิดมาตรา 66 หรือมาตราที่เกี่ยวข้องกับการเงิน อาจจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงการยุบพรรคทันที รับบริจาคเกินมา 1 บาท อาจถูกยุบพรรค ต่อไปนี้ใครรับเงินทอง แจ้งบัญชีใดๆ ไม่ครบ ทุกอย่างจะถูกยึดโยงให้กลายเป็นการได้เงินมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายโยงยุบพรรคได้ทันที คือการขยายความมาตรา 72 เกินกว่าที่กำหนด”

4 หากระบบกฎหมายต้องการห้ามไม่ให้พรรคการเมืองกู้เงินจริงๆ หรือต้องการวางเงื่อนไขการกู้เงิน จำเป็นอย่างยิ่งต้องตรากฎหมายเงื่อนไขข้อห้ามเกี่ยวกับการกู้เงินให้ชัดเจน เพราะพรรคที่อยู่ใต้กฎหมายจะได้รู้ล่วงหน้า แล้วตัดสินใจใช้เสรีภาพดำเนินกิจการของพรรคได้อย่างถูกต้อง มิใช่ปล่อยให้คลุมเครือไม่ชัดเจน จนศาลรัฐธรรมนูญตีความขยายความว่าการกู้เงินไม่สามารถทำได้ เพราะอาจกลายเป็นเป็นเงินบริจาคหรือประโยชน์อื่นใด

โดยเฉพาะโทษรุนแรงถึงขั้นยุบพรรค ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค ประหารชีวิตทางการเมืองเช่นนี้ การใช้และตีความกฎหมายที่ต้องเคร่งครัดเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่ตีความขยายความโดยไม่ทราบล่วงหน้าเช่นนี้

ซ่อน – ซุกเก่งไม่ถูกยุบ

5. คำวินิจฉัยของศาลวันนี้พูดถึงไม่ต้องการให้นายทุนครอบงำพรรค ต้องการสร้างประชาธิปไตยในพรรค ต้องการความดโปร่งใสตรวจสอบได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากคำวินิจฉัยกลับกลายเป็นเรื่องที่ยอกย้อนที่สุด อนค.ก่อตั้งต้องการทำงานการเมืองอย่างโปร่งใส ต้องการทำงานการเมืองเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเงินได้มาจากการใด จ่ายใดบ้าง ทุกอย่างเอาขึ้นบัญชีแต่กลับถูกยุบพรรค ขณะที่พรรคการเมืองในประเทศไทยทั้งหลาย ทุกวันนี้รณรงค์ทำกิจกรรม ส่งผู้สมัครเลือกตั้งครบทุกเขต พร้อมๆ กับอนาคตใหม่ ถามจริงๆ เอาเงินมาจากไหน ผลสืบเนื่องคำวินิจฉัยนี้ ต่อไปนี้พรรคการเมืองจงอย่าโปร่งใส จงอย่าเปิดเผย แต่พรรคการเมืองปกปิดให้มิด ยิ่งโปร่งใสมากเท่าไหร่ ยิ่งซวย ยิ่งถูกยุบพรรค พรรคใดซ่อนเก่ง ซุกเก่ง ปกปิดเก่ง กลายเป็นพรรคที่ถูกกฎหมาย พรรคที่โปร่งใส่กลับถูกยุบพรรค ประเทศไทยจะกลับตาลปัตรยอกย้อนอย่างนี้หรือ

6.สืบเนื่องยุบไทยรักษาชาติ ทษช.ต่อเนื่องมาจาก ยุบ อนค.เพิกถอนสิทธิ 10 ปี ก่อนหน้านี้เราใช้รัฐธรรมนูญ 40 – 50 เพิกถอนสิทธิ 5 ปี ก็ว่าเยอะแล้ว แต่วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นี่คือสอดคล้องกับความได้สัดส่วน สมควรแก้เหตุ สาสมกับการกระทำ ดังนั้น การเพิกถอนสิทธิ 10 ปี นี่คือปราณีเอ็งแล้ว รัฐธรรมนูญก่อตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมา กำหนดอำนาจหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ ที่มาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แม้มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ กำหนดให้คำวินิจฉัยมีผลผูกพันทุกองค์กรเป็นเด็ดขาด แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะมีผลผูกพันในใจของประชาชนทั้งประเทศได้ต้องตั้งอยู่บนเหตุผล และความชอบธรรม

ประชาชนจะวินิจฉัยตุลาการ

“ตุลาการจะเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มิใช่คนใส่ชุดครุยบนบัลลังก์ที่ติดชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญ ก็ต่อเมื่อตัดสินคดีได้อย่างมีเหตุมีผล กกต. และศาลตรวจสอบผู้อื่น ใครตรวจสอบศาลรัฐธรรมนูญ และ กกต.คำตอบคือ ประชาชน ผู้ทรงอำนาจอธิปไตยสูงสุดของประเทศ ดังนั้น จึงเป็นผู้มีอำนาจสิทธิชัดเจนในการตรวจสอบ กกต.และศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อใดก็ตามศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรค ประชาชนก็จะเป็นคนวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ดังนั้น คำตัดสินมีคุณภาพ ถูกต้องชอบธรรมมีเหตุมีผลหรือไม่ ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดในแผ่นดินเป็นคนตัดสิน”

ผลสืบเนื่องทางการเมืองไทยจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ ประเทศไทยไม่อนุญาตให้มีพรรคการเมือง ที่ทำงานสร้างสรรค์ เปิดเผย โปร่งใส มีความคิดก้าวหน้าที่ต้องการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยถึงระดับโครงสร้าง ประเทศไทยเลือกใช้นิติสงครามกำจัดศัตรูทางการเมืองแบบเดิมที่ทำมาเกือบทศวรรษ ซึ่งไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้ ตรงกันข้ามจะตอกลิ่มความขัดแย้งยิ่งกว่าเดิม

ความคิดยังงอกงาม

10 กว่าปีที่ผ่านมา คนไทยจำนวนมากตั้งคำถามถึงการตรวจสอบการใช้อำนาจต่างๆ พวกเขาเจ็บช้ำ ตั้งคำถามดังๆ ว่า ยุบพรรคที่เขาสนับสนุนไปทำไมและได้อย่างไร ณ วันนี้มีคนอีกจำนวนมากสนับสนุน อนค.อาจไม่รู้เรื่องรู้ราวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 10 กว่าปีที่ผ่านมา แต่ ณ วันนี้ เขาเห็นปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขาแล้วว่านิติสงครามทำกันอย่างไร เล่นจริง เจ็บจริง ของเดิมยังไม่แก้ ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายกลับเข้ามาอีก นิติสงครามที่ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชวนสนเท่ห์ถึงระบบ 2 มาตรฐานมากขึ้นๆ

นายปิยบุตร กล่าวว่า หากการยุบ อนค.เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค เพียงเพราะว่าผู้มีอำนาจต้องการกำจัดผู้มีความคิดแบบอนาคตใหม่ออกไป เพียงเพราะผลักใสตนและธนาธรออกจากการเมืองไทย ยืนยันว่าพวกเขาคิดผิด เพราะความคิดแบบ อนค.จะเจริญงอกงามเติบโตกว้างไกลไปยิ่งกว่าเดิม เพราะ ธนาธรและผมจะออกไปโลดแล่นการเมืองทั่วประเทศยิ่งกว่าเดิม

ไม่ใช่ตัดไฟแต่ต้นลม แต่คือไฟลามทุ่ง

“หากผู้มีอำนาจคิดว่านี่คือการตัดไฟแต่ต้นลม แต่ผมยืนยันว่าพวกเขาคิดผิด เพราะนี่คือไฟลามทุ่ง หากผู้มีอำนาจคิดว่านี่คือการกำจัดศัตรูทางการเมืองสืบทอดอำนาจได้ต่อไปอย่างสบายใจ เพราะอาการนี้คือการแสดงของโรค ปราศจากความชอบธรรมอย่างสิ้นเชิงจึงต้องงัดทุกวิถีทางมาจำกัดพวกเรา หากผู้มีอำนาจคิดว่าประชาชนไม่รู้สึกอะไรเดี๋ยวก็ลืม วันหน้าทำใหม่ ขอยืนยันว่าคิดผิด เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นการต่อสู้ของประชาชนเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย ความคิดแบบอนาคตใหม่จะเติบโตยิ่งกว่าเดิม พี่น้องประชาชนจะสนับสนุนมากกว่าเดิม

“ผมและธนาธรจะรณรงค์ต่อเนื่องทั่วประเทศอย่างไม่รู้จัดเหน็ดจักเหนื่อย ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้น เพราะพวกเราเป็นปีศาจที่กาลเวลาได้สร้างขึ้นมาเพื่อหลอกหลอนคนที่มีความคิดเก่า ทำให้เกิดละเมอ หวาดกลัว และไม่มีอะไรปลอบใจคนเหล่านี้ได้ เท่ากับไม่มีอะไรที่หยุดยั้งความรุดหน้าของกาลเวลาที่จะสร้างปีศาจเหล่านี้ให้มากทุกที ขอเชิญชวนออกมารวมตัวกันที่ อนค.เพื่อให้กำลังใจซึ่งกันและกันและเพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นพลังของพวกเรา และส่งสัญญาณไปยังผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเขาจะไม่ได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ”

ธนาธร ขอบคุณกำลังใจ

จากนั้นนายธนาธร กล่าวว่า นับจากวันที่ อนค.ได้รับการรับรอง พรรคมีชีวิตทั้งสิ้น 507 วัน หรือ 1 ปี 4 เดือน 18 วัน พวกเราคือการรวมตัวกันของการทำการเมืองรูปแบบใหม่ พรรคการเมืองไม่ซื้อสิทธิ์ซื้อเสียง กล้าพูดเรื่องก้าวหน้า พูดเรื่องปฏิรูปกองทัพในสภา ต้องการยุติรัฐราชการรวมศูนย์ หยุดยั้งการสืบทอดอำนาจ แก้ไขรัฐธรรมนูญ 60 คือความฝันที่ร้อยรัดรวมตัวพวกเราให้มาก่อตั้งพรรคการเมือง

“ขอขอบคุณ 1 ปี 14 เดือน 18 วัน ได้รอยยิ้ม ผมได้กำลังใจจากพวกท่านและทำให้เราได้กล้าสู้ต่อ แม้จะโดนกลไกข่าวปลอมในออนไลน์ โดนข้อหา 29 คดี แต่คือแรงผลักดันที่ทำให้เรามาไกลถึงเพียงนี้ ขอบคุณจากใจ อนค.สิ้นสุดลงแล้ว ในฐานะหัวหน้าพรรคขอโทษประชาชนทุกคนที่ทำตามสัญญาไม่ได้ เราสัญญาว่าจะหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจ คสช.แก้ไขรัฐธรรมนูญ ปฏิรูปกองทัพ เราทำไม่ได้ตามสัญญา ตนในฐานะหัวหน้าพรรคขอโทษทุกคน แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ตนและ กก.บห.พรรคได้ทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ เต็มทรัพยากร เพื่อผลักดันให้ได้สิ่งเหล่านั้นมา วันนี้กล้าพูดต่อคนรุ่นใหม่ ในวันที่สังคมมืดมนที่สุดไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆ รอวันที่สังคมลุกเป็นไฟ แต่ตนลุกขึ้นมาสู้กับอำนาจอยุติธรรม หยุดยั้งความขัดแย้งที่มีอยู่ในสังคมไทย บอกได้เต็มปาก” นายธนาธร กล่าว

ตั้งคณะอนาคตใหม่

นายธนาธร กล่าวว่า อนค.ถูกยุบแล้ว กก.บห.พรรคถูกตัดสิทธิแต่การเดินทางไม่สิ้นสุดลง นี่ไม่ใช่เวลาที่จะเสียใจ เร็วไปที่จะร้องให้ เพราะพรรค อนค.เป็นมากกว่าพรรคการเมือง ยุบพรรคได้ แต่ยุบคนเหล่านี้ไม่ได้ ดังนั้น ประชาชนที่เคารพพวกเขาต้องการทำลายเรา นี่เป็นเวลาที่พิสูจน์ว่าทำลายเราไม่ได้ นี่คือการลุก ไม่มีเวลาสำหรับสิ่งเหล่านั้น อย่าเปลี่ยนใจ อย่าหมดไฟ อย่าหมดฝัน อนค.เป็นมากกว่าพรรคการเมือง แต่เป็นจิตวิญญาณ คือผู้คน คือการเดินทาง

“วันนี้ยานพาหนะอนาคตใหม่สิ้นสุดลง แต่ผู้คนยังเดินทางต่อ ขอประกาศตั้งคณะอนาคตใหม่ ผลักดันวาระทางสังคมที่ก้าวหน้าขึ้น ขอประกาศจัดตั้งคณะอนาคตใหม่เป็นที่รวมตัวสืบสาน ประกาศตั้งคณะอนาคตใหม่เพื่อทำงานการเมืองต่อ โดยมีวัตถุประสงค์กลับไปเมื่อครั้งตอนที่ตั้งพรรคอนาคตใหม่ครั้งแรก ปักธงความคิด คือเรื่องที่สำคัญเพราะเมื่อทำให้ประชาชนเชื่อได้ว่าประชาธิปไตยดีที่สุดสำหรับคนไทย ถ้าเราทำให้ประชาชนเชื่อได้ว่ามีแต่การสร้างรัฐสวัสดิการเท่านั้นที่ทำใ ถ้าทำให้ประชาชนเชื่อได้อย่างนี้เมื่อไหร่ เสียงมาเองไม่ต้องรณรงค์ เลือกตั้งครั้งหน้าพรรคที่มีอุดมการณ์อย่างนี้จะชนะเลือกตั้งเอง”

“นี่คือสิ่งที่คณะอนาคตใหม่ รณรงค์ต่อไป ไม่ยอมย่อท้อแม้เขาจะเหยียบเราอีกกี่ครั้งก็ตาม และจะทำมากกว่านั้นคือการเมืองท้องถิ่น เราจะเปลี่ยนแปลง ทำให้ประชาชนเห็นว่าเราเป็นมืออาชีพพอบริหารท้องถิ่นให้ดีขึ้น ส่วนตนจะตั้งมูลนิธิ ทำงานด้านการศึกษา สิ่งแวดล้อม คือก้าวต่อไปของตนและ กก.บห.พรรคที่โดนตัดสิทธิ จะก้าวเดินในรูปแบบใหม่ ขอพลังจากทุกคนก้าวเดินต่อไปด้วยกัน”

ส.ส.ยังสานต่ออุดมการณ์

นอกจากนี้ ยังเชื่อว่า ส.ส.ที่ยืนอยู่กับเราในวันนี้จะยังหนักแน่นและไปด้วยกันจะสานต่ออุดมการณ์ อนค.จะไม่เปลี่ยนใจ ไม่หมดไฟ ไม่หมดฝันเช่นกัน ขอให้ ส.ส.ติดตามพวกเขาไปอยู่พรรคไหน ให้สมาชิกพรรค 6 หมื่นคนเดินตามกับพวกเขา เชื่อใจผมมาแล้ว ผมขอให้เชื่อใจพวกเขาอย่างที่เชื่อใจผม ให้ความสนับสนุนพวกเขาอย่างที่สนับสนุนพวกเรา ดังนั้น ก้าวต่อไปข้างหน้าแม้ไม่มีพรรคอนาคตใหม่ แต่จะยังมีคณะอนาคตใหม่รณรงค์วาระที่ก้าวหน้าทางสังคม และมี ส.ส.ในสภา ภาคภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างพรรคขึ้นมาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย ภูมิใจที่เป็นสมาชิกพรรค และเชื่อว่าทุกคนจะภูมิใจที่สร้างประวัติศาสตร์เหล่านี้มา

อีก 1 สัปดาห์ รู้ชัวร์ ส.ส.ย้ายไปพรรคไหน

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาอ่อนแอ ร้องให้ แม้ตนไม่ได้เป็นดาวฤกษ์ ในเวลาที่มืดมนที่สุด หิ่งห้อยมารวมกันยังสว่างขึ้นมาได้ ถ้าวันหนึ่งคนถือเทียนมารวมกันก็สว่างขึ้นได้ เราจะเป็นดาวกระจายที่เมื่อรวมกันแล้วจะสว่างเท่าเดิม ต้องถอดบทเรียนจากอดีตที่ผ่านมา แล้วทำให้ดีขึ้นในยานพาหนะใหม่ที่จะไปด้วยกัน ถึงเวลาที่จะต้องเดินไปข้างหน้า

นายพิธา กล่าวว่า ส่วนจะไปอยู่กับพรรคไหนนั้น รออีกหนึ่งสัปดาห์ สิ่งสำคัญที่สุดคือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แม้มีความพยายามทำให้เราเสียสมาธิ แต่ถึงเวลาจะแถลงอีกครั้ง

แซวแรงห้ามกู้ ให้ยืมนาฬิกาได้

นายธนาธร กล่าวว่า “มีคำแนะนำจะมอบให้ ส.ส.ที่เหลืออยู่ถ้าจะไปพรรคไหนก็แล้วแต่ แต่อย่ากู้เงินผมนะครับ แต่จะให้ยืมนาฬิกา”