ฝ่ายค้านต้อน “พล.อ.ประยุทธ์” เอื้อทุนจีน ทำตัวเป็น “มดจำนนราชสีห์”

ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลเป็นวันที่ 2 เริ่มขึ้นต้นด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ขอใช้สิทธิชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในประเด็นที่ฝ่ายค้านอภิปรายในช่วงค่ำของวันที่ 24 ก.พ.ผ่านมาว่า การชี้แจงของรัฐบาลมีความจำเป็นต้องพูดถึงกระทรวงหลายกระทรวง แม้นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล และกำหนดแนวทางการทำงาน แต่ไม่ได้เป็นคนทำงานทั้งหมดเพียงผู้เดียว ซึ่งเป็นการบูรณาการ

สำหรับกรณีของการก่อสร้างหอชมเมืองนั้นเป็นโครงการของเอกชนเพื่อเป็นภูมิสถานอยู่คู่กับแผ่นดินบนที่ดินราชพัสดุ ไม่ใช่โครงการของรัฐและไม่มีการใช้งบประมาณของรัฐ และเมื่อสร้างเสร็จแล้วจะยกให้กับกรมธนารักษ์ประมาณ 4,423 ล้านบาท ส่วนข้อกล่าวหาที่เกี่ยวกับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่มีการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนนั้นได้มีหนังสือขอผ่อนผันการชำระเงินทั้งสามวาระ ทำให้ต้องมีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน แต่เป็นการให้ความเป็นธรรมและต้องมีการเยียวยา

@ “อุตตม” ยันหอชมเมืองสร้างรายได้ท่องเที่ยว

จากนั้น นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ชี้แจงโครงการหอชมเมือง ว่า โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นนานแล้วจากการรวมตัวของภาคเอกชนและสถาบันการเงินกว่า 50 องค์กร โดยจดทะเบียนเป็นมูลนิธิ เมื่อวันที่ 8 ต.ค.2557 และขอใช้พื้นที่กรมธนารักษ์ในเขตคลองสาน การตรวจสอบข้อมูลพบว่า เป็นพื้นที่ว่างของราชพัสดุ ไม่มีการใช้ประโยชน์ ไม่มีการเช่า เป็นพื้นที่ตาบอด ทางเข้าออกไม่สะดวก จากนั้นกระทรวงการคลังได้แจ้งต่อมูลนิธิหอชมเมือง ให้หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และศึกษาการลงทุนร่วมกับธนารักษ์ โดยมีการศึกษาความเหมาะสมพบว่า ที่ดินดังกล่าวมีมูลค่า 100 ล้านบาท และมูลนิธิฯ ต้องลงทุนพัฒนาโครงการ 4,478 ล้านบาท ทำให้ที่ดินมีมูลค่าสูงขึ้น และมีทางเข้าออก เป็นหอชมเมืองที่สูงอันดับ 6 ของเอเชีย เพิ่มรายได้การท่องเที่ยว โดยปี 2557 ไทยมีรายได้ท่องเที่ยว 1.17 ล้านล้านบาท และปี 2560 รายได้ 1.83 ล้านล้านบาท

ยืนยันว่าได้ดำเนินการตามกฎหมายการให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการรัฐ เช่น เสนอเรื่องให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกฤษฎีกา และเสนอ ครม.พิจารณาเห็นชอบ ส่วนประเด็นที่ฝ่ายค้านระบุว่าไม่มีการประมูล หรือให้เอกชนร่วมแข่งขันนั้น กรมธนารักษ์แจ้งว่าเป็นที่ดินตาบอด ไม่เคยมีคนมาขอเช่า ประกอบกับเห็นประโยชน์ในการพัฒนาการท่องเที่ยว สร้างงานสร้างรายได้ อีกทั้งปฏิบัติตามเกณฑ์ พ.ร.บ.ร่วมทุน คัดเลือกเอกชนได้โดยไม่ต้องผ่านการประมูล ยืนยันว่าตัดสินใจโดยรอบคอบเพื่อผลประโยชน์ประเทศ และทำตามกฎหมายทุกประการ อีกทั้งเป็นการเผยแพร่ศาสตร์พระราชา

@ ยัน ม.44 ผ่าทางตันทีวีดิจิทัล

ต่อมา นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรกรณีกล่าวหาเรื่องการจัดสรรคลื่นถี่ในคลื่น 700 และการใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 44 เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุน ว่า การประมูลทีวีดิจิทัลเกิดขึ้นในปี 2556 ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นรัฐบาลชุดไหน เกิดการแข่งขันจนราคาสูงมาก ผู้ได้รับประมูลก็นำไปบริหาร ต่อมาปี 2561 ทีวีดิจิทัลหลายแห่ง มีปัญหาและไม่สามารถพาตัวเองผ่านไปได้ เพราะราคาสูงเกินจริง เมื่อเกิดปัญหาเกิดย่อมเป็นวิกฤตของประเทศ ไม่ได้เกี่ยวกับการออกมาตรา 44

“การใช้มาตรา 44 ของ คสช.ในอดีตเป็นการดำเนินการเพื่อช่วยผ่าทางตันของประเทศ เพราะหากไม่มีการใช้มาตรา 44 เพื่อให้ทีวีดิจิทัลคืนคลื่นความถี่ จะทำให้หนี้สินของทีวีดิจิทัลที่มีอยู่ประมาณ 17,000 ล้านบาท ไม่ได้รับการแก้ไข ดังนั้น การเอาคลื่นความถี่คืนมา และนำไปประมูลใหม่ โดยได้เงินกลับมาประมาณ 50,000 ล้านบาท เมื่อหักกันแล้วรัฐยังได้เงินกลับมาประมาณ 30,000 ล้านบาท ทุกอย่างเป็นการแก้ไขปัญหาให้ประเทศ”

ซึ่งวันนี้มีทีวีดิจิทัลที่เดินต่อไปได้และมีการประมูล 5จี ถ้าไม่มีการแก้ไขปัญหาในวันนั้นใครจะมาประมูล 5จีในวันนี้ ด้วยการแก้ไขปัญหาทั้งหมดจึงทำให้เม็ดเงิน 1 แสนล้านบาทสามารถเข้ารัฐ ได้เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาจากการประมูล 5จี ซึ่งจะต้องมีการต่อยอดต่อไป

@ ต้อน “บิ๊กตู่” เอื้อนายทุนจีน

ต่อมานายอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.เชียงราย กล่าวว่า รัฐบาลดำเนินนโยบายไทยกับจีน เหมือนมดกับราชสีห์ และหลิ่วตาให้กับนายทุนจีน เช่น 1 การเข้ามาของล้งลำใยนายทุนจีน 3 แห่ง ที่ จ.ลำพูน มีผู้ถือหุ้นเป็นกลุ่มเดียวกัน ถือหุ้นแบบไขว้ไปไขว้มา มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องไปแข่งซื้อลำไยชาวบ้านให้ได้ราคาสูงๆ ก็ต้องฮั้วกันและกดราคาลำไยชาวบ้าน นำไปขาย 30 บาทต่อกก. ยังมีการเล่นแร่แปรธาตุ ทำให้กำไรที่เกิดขึ้นไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย น้ำใช้นำไทย ดินใช้น้ำไทย แต่ภาษีไม่ทำให้ไทยได้ประโยชน์ ไม่เพียงลำใยแต่เป็น ยางพารา สัปปะรด เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์รู้เพราะเกิดขึ้นทั่วประเทศ แต่ไม่ทำอะไร เพราะความสัมพันธ์ที่เราวางไว้ว่าเป็นมดแต่ไม่ยุ่งกับราชสีห์

นับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามา มีทุนจีนไหลเข้ามาในตลาดอสังหาริมทรัพย์ 7 เท่า 3 หมื่นล้านบาท แต่คนที่ได้ประโยชน์คือบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มทุนจีนที่เข้ามาหาประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ และ พล.อ.ประยุทธ์ ได้หน้าจากจีน แล้วประชาชนอยู่ตรงไหนในสมการของพล.อ.ประยุทธ์ มาเลเซียกำหนดซื้ออสังหาขั้นต่ำสำหรับคนต่างชาติ 8 ล้านบาท แต่ของไทยไม่ได้กำหนดทุนจีนซื้อราคาต่ำกว่า 5 ล้าน ทำให้เกิดดีมานด์เทียม ทำให้ดัชนีคอนโดมิเนียมสูงขึ้น 17 เปอร์เซ็นต์ รายได้ครัวเรือนลดลง 2 เปอร์เซ็นต์ การที่ปล่อยให้ราคาคอนโดสูงขนาดนี้ คนไทยพนักงานบริษัทซื้อไม่ได้ จะต้องเปลี่ยนเป็นเช่า บางคนต้องเช่าต่อจากกลุ่มทุนจีนที่ซื้อเป็นบิ๊กล็อต และยังปล่อยเช่าให้คนจีน ผ่าน Airbnb booking กระทบผู้ประกอบการขนาดเล็ก และห้องพักขนาดเล็ก และเงินเหล่านั้นไม่อยู่ในมือคนไทย แต่กลับไปอยู่ในมือคนจีน

การประเคนรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ให้แก่จีน ไม่มีการเปิดประมูลนานาชาติอย่างที่ควรจะทำ ลงนาม MOU ตั้งแต่ยังไม่มีการศึกษารายละเอียดโครงการ เป็นโครงการกระชับสัมพันธ์ ไม่เคยมีครั้งไหน 2 แสนล้านไปซื้อความสัมพันธ์ การสร้างความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ใช่การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับจีน แต่เป็นการสร้างสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ ที่ไม่มีนานาประเทศคบ นอกจากนี้ ยังเปลี่ยนจากร่วมทุนมาเป็นกู้เงินมาจากจีน 2 แสนล้าน ในอัตราดอกเบี้ยมิตรภาพ และยังก่อสร้างช่วงแรก 3.5 กิโลเมตร มีที่ไหนในจักรวาลเขาทำ แปลเป็นอื่นไม่ได้นอกจากการจองไว้

@ อีคอมเมิร์ซจีนจะกินรวบ

“นี่คือการยอมเอาเงินของประเทศชาติ และทำให้คนไทยเสียเปรียบ นอกจากนี้ ในโครงการ EEC ยังให้สิทธิพิเศษของนักลงทุนเจ้าหนึ่ง ที่ได้สิทธิพิเศษแบบสุดๆ ไปแล้ว คือการยกเว้นสิทธิภาษีสินค้าทัณฑ์บน 14 วัน เช่น การสั่งสินค้าเข้ามาในประเทศไทย คิดภาษีนำเข้า ภาษี vat แบบยกตู้คอนเทนเนอร์ แต่สิทธิภาษีสินค้าทัณฑ์บนเอาสินค้ามาเก็บไว้ในประเทศ ถ้าไม่มีการหยิบสินค้าเอามาขาย จะเก็บไว้นานเท่าไหร่ก็ไม่เสียภาษี และถ้าสำแดงราคาไม่เกิน 1,500 บาท ไม่เสียภาษี นอกจากนี้ ยังมีเวลา 14 วันไม่ต้องเสียภาษี ถ้าเราซื้อสินค้าออนไลน์แล้วคืนใน 14 วันต้นทุนบริษัทนี้ไม่มี เมื่อรายใหญ่ ทุนใหญ่ต่างชาติได้รับแต้มต่อ รายเล็ก รายน้อยหรือแม้กระทั่งรายใหญ่ในประเทศไทยจะเหลืออะไร นอกจากรอวันล้มหายตายจาก แล้วอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยที่ พล.อ.ประยุทธ์พยายามจะตั้งขึ้นมาก็จะถูกกินรวบ เมื่อเอื้อทุนใหญ่ เอาใจคนจีนจะเหลือโอกาสให้อะไรกับคนไทย เราไม่ได้ปฏิเสธรัฐบาลจีน ไม่ได้ปฏิเสธคนจีน ทุนจีน แต่อยากเห็นรัฐบาลไทยดำเนินการทูตอย่างมีศักดิ์ศรีและรักษาสมดุลระหว่างประเทศ แต่เมื่อใช้นโยบายแบบมดกับราชสีห์ ไม่ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว” นายเอกภพกล่าว