พรรคก้าวไกล อุดมการณ์อนาคตใหม่ ไม่หวั่นยุบพรรครอบสอง

“พรรคก้าวไกล” ในชื่อภาษาอังกฤษว่า Move Forward Party เป็นพรรคร่างใหม่ของพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค เมื่อ 21 ก.พ.2563

เป็นไมเนอร์เชนจ์ ให้ 55 ส.ส. ในนามอดีตพรรคอนาคตใหม่ ได้เข้าไปสวมร่าง ก่อนจะครบกำหนด 60 วัน ตาทรัฐธรรมนูญ ที่ให้ ส.ส.ที่ถูกยุบพรรคสังกัดพรรคใหม่ได้ใน 60 วัน

“ก้าวไกล” วางโทนทำหน้าที่ในสภา ผลักดันกฎหมาย ลดโทนแข็งกร้าว ไม่ซ้ำรอยแบบพรรคพี่ – อนาคตใหม่ (อนค.) เคยทำ จนนำมาสู่ทางอันตราย ยุบพรรค

@ ธนาธร – ปิยบุตร ไม่เกี่ยว มีความคิดเป็นของตัวเอง

“พิธา” ในฐานะ “หัวหน้า ส.ส.” อดีต อนค. ประกาศต่อสาธารณชนครั้งแรก ว่าจะไปอยู่พรรค “ก้าวไกล” ว่า
“ในฐานะตัวแทน ส.ส. ยินดีอย่างยิ่งที่ประกาศว่าจะย้ายไปพรรคใหม่ด้วยกัน ยืนยันว่า พรรคก้าวไกล อยู่ระหว่างประสานงานสมัครเข้าพรรคนั้น ภารกิจของ ส.ส.55 คนสานต่ออุดมการณ์พรรคอนาคตใหม่ ส.ส.ที่เหลือยืนยันยึดมั่นหลักการณ์ของอดีต อนค. แม้อยู่บ้านใหม่ จิตใจยังเหมือนเดิม อยู่ข้างประชาชนและประชาธิปไตย ต่อต้านรัฐประหาร ผลักดันวาระนโยบายก้าวหน้าต่อไป ที่ประชุม ส.ส.อนค.มีมติสมัครสมาชิกพรรคก้าวไกลสัปดาห์หน้า”

“พิธา” ยืนยันว่า นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขา อนค. และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรค อนค. ไม่เกี่ยวข้องกับก้าวไกล และพรรคใหม่มีความคิดเป็นของตนเอง

“ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แน่นอนว่าอุดมการณ์พรรคใหม่ที่ย้ายไปก็ไม่เปลี่ยน แต่ต้องอย่าลืมว่า ส.ส.ทั้ง 55 คน ทำงานร่วมกันมา แต่เรามีความคิดของตัวเองเกี่ยวกับนโยบายแรงงาน การศึกษา สาธารณสุขของตนเอง อุดมการณ์ยังไม่เปลี่ยน การเดินทางเป็นตัวของเราเอง ถ้านายปิยบุตรหรือนายธนาธรมาสา คงมองไม่ได้ว่าเกี่ยวข้องกับพรรค เพราะสภาเป็นของประชาชน กมธ.วิสามัญก็มีคนนอกเข้าได้ กมธ.สามัญ มีอนุหลายชุดให้คนนอกได้ สภาไม่ได้เป็นที่ของคนทั่วไป”

แม้ว่า “นิตินัย” ก้าวไกลไม่อาจเกี่ยวข้องกับ อนค. แต่พฤตินัยจะยืนยันกับสังคมได้อย่างไรว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ อนค. “พิธา” ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า “พวกเราไม่ได้รับนโยบายมา พวกเราทำนโยบายมาด้วยกัน 1-2 ปี อยู่ในดีเอ็นเอของพวกเรา”

@ ลั่น รื้อการบริหารจัดการพรรคใหม่

เขาบอกว่าว่า สิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ภายในใต้ยุคหัวหน้าพรรคชื่อพิธาเป็นหัวหน้าพรรค คือ การบริหารจัดการ
“ต้องยอมรับว่าใน 1 ปีที่ผ่านมา เราทำงานอย่างแข็งขัน รวดเร็ว อาจมีการสื่อสารทั้งภายใน ภายนอกที่น้อยเกินไป ดังนั้น เรื่องกลุยุทธ์ นโยบาย อุดมการณ์ จะไปที่เป้าหมายเดิม เพราะเป็นเป้าหมายเดิมของเราอยู่แล้ว แต่หากมีความฝันแต่ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ต้องมาวางแผนเป็นรายเดือน รายไตรมาส รายวัน ว่าการจัดการภายใน เรื่องโครงสร้างพรรค การทำงานพรรค การเชื่อมกรรมาธิการมาสู่ฝ่ายนโยบาย สิ่งเหล่านี้จะต้องทำใหม่”

พิธา – มั่นใจว่า ส.ส.55 คน จะย้ายไปสมัครพร้อมกัน…“มั่นใจที่ทุกคนมายืนอยู่ข้างหลังตน เป็นกำแพงชั้นแรก ทำให้ตนมีความมั่นใจและความตื่นเต้นในการทำงาน กำแพงชั้นที่สอง คือประชาชนที่ทั้งเลือกและไม่ได้เลือกเรามา ประเทศไทยช่วงนี้เป็นความท้าทายในทศวรรษนี้ของศตวรรษนี้ ดังนั้น ส.ส.ที่เหลืออยู่และประชาชนที่เฝ้าดูพวกเขาอยู่อีกทีจะมองในทิศทางเดียวกันว่าเราควรมีความสามัคคีกัน และทำงานให้สมกับภาษีที่ประชาชนเลือกเรามา”

@ ไม่ง้อนายทุน ระดมทุนจาก SMEs

สำหรับเรื่องการบริหารการเงินของพรรค ซึ่งเป็น “จุดตาย” ของ อนค.ที่ทำให้ถูกยุบพรรค “พิธา” ไม่ทำตาม อนค.ด้วยการ “กู้เงิน” แต่จะขอระดมทุนจากบริษัทเอกชน SMEs แทนระดมทุนจากบริษัทเอกชนนายทุนผูกขาด

“ส่วนเรื่องเงินและงบประมาณที่จะบริหารพรรค เราจะไม่มีการยืมนาฬิกา แต่เราจะเป็นพรรคที่เล็กลง แต่เป็นพรรคที่เร็วขึ้น เน้นเรื่องการระดมทุนกับประชาชน และเริ่มระดมทุนกับบริษัท SMEs ที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง รวมถึงการขยายสินค้า การรับสมัครสมาชิก พิสูจน์แล้วว่าทำให้ไปต่อได้ แม้เราเป็นพรรคที่เล็กลงในจำนวน แต่คุณภาพจะต้องไม่ลดลง”

@ เป็นพรรคมาราธอน ไม่ใช่สายเรซซิ่ง

“พิธา” ยอมรับว่า “เราเข้าใจแล้วว่าการเมืองเป็นเรื่องมาราธอน ไม่ใช่สปรินท์ จะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป และแน่นอนว่าคุณภาพที่จะเป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชนจะไม่ลดลงเช่นกัน”

ส่วนความกังวลเรื่อง “คดี” เหมือนพรรคอนาคตใหม่ นายพิธา ตอบว่า “ไม่กังวล ตราบใดที่มีเพื่อน ส.ส.ยืนอยู่ข้างหลัง เรามีบทเรียน และถอดบทเรียน พร้อมที่จะเดินต่อไปข้างหน้า คำถามที่ควรถามกลับคือ บรรยากาศการเมืองในการทำงานอย่างสร้างสรรค์คอย่างทำงานอย่างตรงไปตรงมา เป้นสิ่งที่ประชาชนจำนวนมากร้องขออยู่ไม่ใช่หรือ พวกผมมีความตั้งใจดีเพียงแค่ช่วยเหลือประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยดีกว่ารุ่นที่ผมโตมา และส่งต่อประเทศไทยที่ดีกว่าไปสู่รุ่นลูกของผม ความตั้งใจเรียบง่าย แต่การทำงานต้องระมัดระวังในรายละเอียดมากขึ้น”

@ ถ้าโดนคดีอีก เป็นเรื่องจูงใจทางการเมือง

“ชัยธวัช ตุลาธน” อดีตรองเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ คาดว่าจะเป็น เลขาธิการพรรคก้าวไกล เสริมว่า เมื่อเรามีความคิดว่าจะทำงานกันต่อ มีคำถามในหลายโอกาสว่ากลัวจะถูกยุบพรรคหรือไม่ ส.ส.แกนนำพรรครุ่นใหม่กลัวติดคุกหรือไม่ คำถามทำนองนี้สะท้อนปัญหาการเมืองไทยที่ผิดปกติอย่างชัดเจน เรายังไม่ทันได้ย้ายไปอยู่พรรคใหม่อย่างเป็นทางการแต่ สังคมไทยตั้งคำถามไว้ล่วงหน้าว่า พรรคน่าจะถูกยุบอีก เป็นข้อยืนยันชัดเจนว่า คดีความทั้งหมดของ อนค.ที่ผ่านมา หรือหากจะมีอีกต่อพรรคใหม่ในอนาคต เหล่านี้เป็นคดีที่มีแรงจูงใจทางการเมืองทั้งสิ้น ทุกท่านทราบดีจึงมีคำถามนี้เสมอมา

ดังนั้น ช่วยกันตรวจสอบว่ากระบวนการยุติธรรมเกิดอะไรขึ้น “พรรคก้าวไกล” อยู่ในกระบวนการเซ้งพรรคที่จดทะเบียนกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไว้แล้วคือ “พรรคร่วมพัฒนาชาติไทย” จะต้องมีมีข้อตกลงเจ้าของพรรคเก่า เรื่องตำแหน่งในพรรคหรือไม่ “พิธา” ไม่รับ – ไม่ปฏิเสธ โดยบอกว่า “ยังอยู่ในช่วงประสานงานกับพรรคใหม่ คิดว่ามีอุดมการณ์ นโยบายคล้ายๆ กัน น่าจะคุยกันได้ แต่ช่วงนี้เป็นเรื่องการประสานงานด้านธุรการ และการพูดคุยภายใน”

@ ปิยบุตร ฝากภารกิจ – เตือนสติ

ตามกฎแล้วคณะกรรมการบริหารพรรคที่ถูกยุบพรรค ถูกจัดสิทธิ์ทางการเมือง ห้ามยุ่งเกี่ยว – จัดตั้งพรรคใหม่ ทว่า “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการพรรค มอบภารกิจก้าวไกลให้ พรรคก้าวไกล “สานต่อ” อุดมการณ์อนาคตใหม่ ปฏิรูปกองทัพ ขจัดนายทุนผูกขาด กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ยกเลิกการเกณฑ์ทหารภาคบังคับ แก้รัฐธรรมนูญ แต่มี “บทเรียน” ที่อดีตเลขาธิการพรรค ไม่อยากให้ “ทำตาม” วันที่เราอำลา บทเรียนที่เรียนรู้

1.อนค.คิดใหญ่ คิดเร็ว โตเร็ว สถานการณ์ไปเร็ว คิดใหญ่ อยากจะสร้างใหญ่ เริ่มตั้งแต่วันแรกอยากให้เป็นพรรคใหญ่ เต็มสูบ หวังเดินระยะยาว แต่เมื่อเจอสภาพความเป็นจริงของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง มันยากมากที่จะทำพรรคการเมือง ซึ่งได้ถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับเพื่อนที่จะไปทำพรรคต่อ ให้คิดช้าลง คิดเล็กลง อย่าเพิ่งโตเร็ว แก้ปัญหาทีละเปลาะเฉพาะหน้า

2. เราไม่มีโอกาสคัดเลือกผู้สมัครได้มาก มีเวลา 1 เดือน มีคนบอกว่าหาผู้สมัครอย่างไรถึงมีแต่งูเห่าเต็มไปหมด ผมก็ยืนยันกลับไปว่ามีเวลาหาเพียง 1 เดือนเท่านั้น แล้วตั้งโจทย์ว่าเอาคนหน้าใหม่หมด ไม่เอาตระกูลการเมือง เพื่อเปิดโอกาสให้คนใหม่ๆ เข้ามาทำการเมือง

3. ต้องเริ่มจัดตั้งความคิดกัน ตอน อนค.ผมไม่มีเวลาทำงานกับสมาชิกพรรค เหมือนตอนที่ผมตั้งใจที่จะทำ อนค.ให้มี career part เริ่มต้นเข้าไปจังหวัด เติบโตทำงานท้องถิ่น เป็น ส.ส.

4.วัฒนธรรมการเมืองไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย ผลัดกันภายในพรรคเพียงพอว่า คนไหนแพ้ก็สามารถร่วมงานกันต่อ คนแพ้ก็อยู่ในพรรคเพื่อสู้กัน แต่ที่ผ่านมาแพ้ไม่พอใจ ยกพวกออก เลือกใช้วิธีโพสต์เฟซบุ๊กด่าข้างนอก