กดดัน “ประยุทธ์” ปรับใหญ่ ครม. เศรษฐกิจ ดึงนักธุรกิจร่วมทีม “บิ๊กป้อม”

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ประกอบพิธีกรรมเชิด “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” เป็น “หัวหน้าพรรค” สมราคาชื่อเดียว นอนมา-ไร้คู่แข่งขัน

ผ่านการลงคะแนนลับ มติเอกฉันท์ 516 เสียง อวยชัย “พล.อ.ประวิตร” ขึ้นเป็น “หัวหน้าพรรคคนที่สอง” ต่อจาก “อุตตม สาวนายน” ส่วนบัตรเสีย 10 ใบ ไม่มีนัยสำคัญถึงความกระด้างดระเดื่องต่อ “หัวหน้าพรรคผู้น่ารัก-มากบารมี”

พล. อ. ประวิตร เปิดใจผ่านวิดีโอ ที่คณะจัดงานอีเวนต์เปิดเสียงระบุว่า “ขอบคุณสมาชิกพรรคที่ให้ความไว้วางใจในการเลือกผมเป็นหัวหน้าพรรค พรรคของเราได้กำเนิดมา ถึงแม้ว่าจะเป็นระยะเวลาอันสั้น แต่ก็สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนอย่างยิ่ง…”

“ภารกิจแรก” และอาจเป็น “ภารกิจเดียว” ที่พล.อ.ประวิตร ในฐานะหัวหน้าพรรค ศูนย์รวมจิตใจ-เสาหลักของพรรค ต้องพิสูจน์ฝีมือ-เผชิญอิทธิฤทธิ์หัวหน้ากลุ่ม-มุ้งนักการเมืองพันธุ์พิเศษ อย่างน้อยก็การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประยุทธ์ 2/2

“ผมพร้อมที่จะทำงานให้กับพรรค พรรคจะนำพาพวกท่านไปด้วยความมั่นคง เชื่อมั่นและมีความสามัคคีกันตลอดไป ขอให้พวกท่านทั้งหลายนั้น จงมีความสามัคคีกัน เป็นหนึ่งเดียว เพื่อจะสร้างพรรคให้เกิดความเข้มแข็ง สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้” พล.อ.ประวิตร เปิดใจครั้งแรกในฐานะหัวหน้าพรรค ผ่านวีดีโอคลิปความยาว 1.22 นาที

แม้ “พล.อ.ประวิตร” จะไม่ปรากฏตัว แต่ส่งเสียง-ภาพ “สั่งงาน” ให้กับกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ชุดใหม่ – ส.ส. และโหวตเตอร์ตัวแทนสาขาประจำจังหวัดทั่วประเทศ กว่า 500 คน ที่มาร่วมประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 2563 ที่ห้องแกรนด์ไดมอนด์ บอลรูม เมืองทองธานี

“ฝากให้ทุกคนได้ช่วยกันลงพื้นที่ ช่วยกันทำนุบำรุงพรรคของเรานั้นให้มีความเข้มแข็ง สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนให้จงได้ ให้เขาสามารถมีที่อยู่ ที่กิน ที่อาศัย ได้อยู่ดีกินดีขึ้น”

“วันนี้ก็ถึงวันที่เราเริ่มต้นกันในการสร้างพรรคให้เกิดความเข้มแข็ง ให้มีองค์กรที่ชัดเจน ในการทำงานให้กับพวกท่าน ผมจะนำพาพรรคให้เกิดความเข้มแข็ง ไปสู่ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตลอดไป ขอบคุณครับ”

ขณะที่เก้าอี้เลขาธิการพรรค เป็นไปตามโผ “อนุชา นาคาศัย” รองประธานยุทธศาสตร์พรรค ขึ้นแท่นพ่อบ้านพรรค-การันตีเก้าอี้รัฐมนตรี-ครม. ประยุทธ์ 2/2

“เรื่องครม.เราไม่ได้มองเลย ผมได้รับการเลือกตั้งเป็นเลขาธิดารพรรค บอกกับพวกเราเลย ไม่ได้เกี่ยวกับกลุ่ม ไม่ได้เกี่ยวกับก๊วน ไม่ได้เกี่ยวกับครม. ผมทำงาน ผมไม่ใช่นักพูด ผมมีสมอง กับหน้าที่ที่ผมต้องทำงานให้สำเร็จให้ลุล่วง เป็นอย่างนั้นมาตลอด ผมยืนยันว่า ผมเป็นนักคิด นักทำ และนักปฏิบัติ ผมมั่นใจว่า เรื่องครม.เป็นเรื่องไกลตัว ผมไม่เคยพูดถึงเรื่องการทำงาน ว่าทำจะเป็นอะไรแม้แต่ครั้งเดียว ผมยืนยันว่า ผมไม่เคยพูด”

“อนุชา” เปิดใจในฐานะเลขาธิการพรรคคนใหม่ว่า “กราบขอบพระคุณสมาชิกพรรค ส.ส. กก.บห.พรรค ที่ได้มอบความไว้วางใจให้เป็นเลขาธิการพรรค มีการเลือก กก.บห.พรรคชุดใหม่ ประกอบด้วยหัวหน้าพรรคที่พวกเราไว้วางใจ ที่ได้เลือกพล.อ.ประวิตร มาเป็นหัวหน้าพรรคของเรา และเป็นเรื่องน่ายินดีแทนสมาชิกที่เราได้ท่านมาเป็นหัวหน้าพรรค”

“เหนือสิ่งอื่นใดที่ผมได้สัมผัสหัวหน้าพรรคคนใหม่ คือ ความตั้งใจ ความจริงใจที่จะเห็นพรรคพลังประชารัฐนั้น เป็นสถาบันการเมืองอันดับต้นของเมืองไทย”

“ท่านต้องการเห็นเอกภาพของสมาชิกพรรค ต้องการเห็นพรรคเป็นเสาหลักของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขตลอดไป”

“ท่านช่วยหล่อหลอม รวมใจของสมาชิกพรรคให้เป็นหนึ่งในการทำงานร่วมกัน อีกทั้งท่านยังเสียสละเดินทางเกือบทุกวันไปเยี่ยมเยียน ไปแก้ไขความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเกือบทั้งประเทศ”

“หัวหน้าพรรคเป็นคนทุ่มเท เสียสละ และที่ท่านพูดเสมอ คือ สิ่งที่ท่านต้องการในแผ่นดินไทยนั้น อยากเห็นพี่น้องประชาชนมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อยากเห็นประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองและเป็นกำลังสำคัญของท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ในการบริหารบ้านเมืองให้ก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ทำให้พี่น้องประชาชนมีกิน มีใช้ มีความสุข”

“พ่อบ้านพรรคคนใหม่” ยืนตรงกล่าวคำปฏิญาณ ว่า ผมขอให้สัญญาว่า ผมจะปฏิบัติตัว ทำงานเพื่อให้พรรคเจริญรุ่งเรือง เป็นเสาหลักในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข  เฉกเช่นเดียวกับหัวหน้าพรรค และจะพยายามทำงาน ตอบสนองต่อสมาชิกพรรค ตอบสนองต่อสมาชิกพรรค และตอบสนองต่อความไว้วางใจของพี่น้องประชาชน ที่มอบความไว้วางใจเลือกพรรคพลังประชารัฐ จนมีคะแนนท่วมท้นเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

“อนุชา” รู้ว่าโจทย์ท้าทายของหัวหน้า-เลขาธิการพรรคชุดใหม่ ที่มีแต่นักการเมือง-นักการทหารอาชีพ ใน กก.บห.ชุดใหม่ ไม่มีทีมเศรษฐกิจ 4 กุมาร เป็น “หัวเรี่ยวหัวแรง” ในการคิดนโยบายเศรษฐกิจในยุค “พลังประชารัฐภาคแรก”

“ผมขอยืนยันว่า หัวหน้าพรรคก็ดี ตัวผมเองก็ดีนั้น ได้มีการรวบรวมบรรดาสมาชิกพรรค ซึ่งเป็นทั้ง ส.ส. รัฐมนตรี บุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ”

“รวมทั้งได้รวบรวมนักวิชาการ ทั้งภาคธุรกิจเอกชน และคนรุ่นใหม่มาทำนโยบายเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประเทศในยุคที่เราต้องการจะเสริมสร้างเศรษฐกิจของเมืองไทย ซึ่งเราคิดว่าเศรษฐกิจของเรานั้นจะได้รับผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19 ในครั้งนี้”

เบื้องหลังของผู้หญิงแถวหน้า “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” โฆษกรัฐบาล – เหรัญญิกคนใหม่ ผู้กุมบัญชี-ถุงเงินพรรค ขึ้นเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรค และคณะรัฐมนตรี ก็มี “อนุชา” เป็นแกนหลักในการสนับสนุน

“เราได้เตรียมตัว บุคลากร ท่านหัวหน้าได้สั่งการว่า ให้พรรคของเราออกนโยบายเพื่อแก้ปัญหาของประเทศและผมมีความเชื่อมั่นในทีมของผม ซึ่งมีท่านศ.ดร.นฤมล ซึ่งท่านเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถและพวกเรารวมกันหลาย ๆ ท่าน รัฐมนตรี ส.ส. และนักวิชาการ คนมีชื่อเสียงระดับประเทศ ผมจะเปิดอีกที ขอให้ตกผลึกก่อน”

“เราทำได้แน่ ๆ ๆ ในการทำให้เศรษฐกิจของประเทศชาติดีขึ้นอย่างแน่นอน ให้คอยดูได้เลยครับ ผมยืนยันด้วยความมั่นใจว่า ทีมงานของเรานั้นจะนำพาประเทศชาติ นำพาเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองให้สู่ความเจริญตามที่ท่านหัวหน้าพรรค สมาขิกพรรคคาดหวังว่า พรรคของเราจะนำพาความสุข ความกินดี อยู่ดี มาสู่พี่น้องประชาชน ผมคิดว่า ผมทำได้ ผมมั่นใจ ว่า พรรคของเราทำได้แน่นอน ผมขอยืนยัน”

“มันสมองของพรรคเรามีแน่นอน เรามีทั้งนักวิชาการ ทั้งนักธุรกิจ เรามีทั้งคนรุ่นใหม่ ที่จะมาร่วมกันทำนโยบายควบคู่ไปกับรัฐบาล และจะนำเสนอไปสู่รัฐบาล นำเสนอท่านนายกฯ เพื่อนำนโยบายดี ๆ ที่คิด”

“ผมมั่นใจว่า ดีแน่ เปิดออกมาพี่น้องประชาชน สื่อมวลชนจะได้เห็นสิ่งที่ดี ๆ เกิดขึ้นในประเทศแน่นอน ผมยืนยัน”

จึงเป็นบทพิสูจน์ “ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่” ที่มี “นฤมล” เป็น “แม่ทัพเศรษฐกิจ” จะลบคำปราศรัยของนายสมคิด ที่ประกาศไว้ล่วงหน้าว่า “คนใหม่ทำไม่เป็น ทำไม่ได้ ไม่ต้องมา มาทำไม คนเก่าอยู่ทำไม่ได้ ไม่ต้องอยู่”

นักข่าวถามว่า ตอนนี้เรียกได้ว่า “อาจารย์นฤมล” เป็นมือ 1 ของทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐแล้วใช่หรือไม่-นโยบายเศรษฐกิจในยุคใหม่ พลังประชารัฐจะเปลี่ยนไปอย่างไร นางนฤมลตอบแต่เพียงว่า “ไม่รู้ ๆ”


การจะใช้เวที “ครม.ประยุทธ์ 2/2” เพื่อพิสูจน์ฝีมือ-วิทยายุทธ์เศรษฐกิจ คงต้องวัดใจ พล.อ.ประยุทธ์ อีกหลายระลอก เพราะประเทศไม่ใช่สถานที่ “ทดลองงาน” เหมือนที่ “ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล” รมว.แรงงาน ทิ้งวลีเด็ด-วรรคทองเอาไว้ ก่อนอำลาเก้าอี้หัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย