เปิดโปรไฟล์การเมือง “สันติ” พร้อมมาก ว่าที่ รัฐมนตรีคลังคนใหม่  

สันติ พร้อมพัฒน์

เปิดโปรไฟล์การเมือง “สันติ พร้อมพัฒน์” รัฐมนตรีช่วยคลัง ที่พร้อมมากที่ขึ้นเป็นว่าที่ รัฐมนตรีคลัง คนใหม่  

การสรรหาบุคคลเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประยุทธ์ 2/3 ยังคงดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ

แต่ที่เสียงดัง ยิ่งกว่าดัง คือการเสนอตัวของ “นายสันติ พร้อมพัฒน์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่พร้อมมากสำหรับการขึ้นแท่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คนใหม่

หลังปฏิบัติการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของ นายปรีดี ดาวฉาย แบบเหนือธรรมชาติ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพียง “27 วัน”

นายสันติ พร้อมพัฒน์  นับเป็น “ผู้กล้า” ที่อาสาขอเป็น “ขุนคลัง”  หากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี-หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ “ไว้วางใจ”

นายสันติ “พร้อมมาก” เพราะเป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ เป็น “นายทุน” ของพรรคตัวจริง-เสียงจริง

นายสันติเป็นผู้เนรมิต “อาคารรัชดาวัน” ตรงข้ามศาลอาญารัชดา ให้เป็นที่ “รังใหม่” ของพรรคพลังประชารัฐ เป็นที่ทำการหลังใหม่ที่ “โอ่โถง-โอ่อ่า” สมฐานะพล.อ.ประวิตร-หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐคนใหม่ และพรรคใหญ่-แกนนำรัฐบาล

นายสันติเป็น “หัวหน้ามุ้งเพชรบูรณ์” งานในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง “low profile” แต่ตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค-ผู้อำนวยการพรรค “high power” ใจถึง-พึ่งได้

เป็นผู้กว้างขวาง-พวกพ้องมาก สามารถ “ต่อสาย” กับเหล่านักการเมือง “กบฏเพื่อไทย” ในฐานะลูกน้องทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ความเป็น “นายทุนพรรค” ทำให้นายสันติเกือบขึ้นชั้นเป็นพ่อบ้าน-เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ แต่สุดท้ายต้องยอมถอยให้กับนายอนุชา นาคาศัย เพราะมี “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทยในตำนานเป็นผู้สนับสนุน

นายสันติ “พร้อมมาก” มีชื่อคั่วเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตั้งแต่ครม.ประยุทธ์ 2/1 แต่ต้องผ่านหลายด่าน ทั้งคนในพรรค-อุตตม สาวนายน  หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐขณะนั้น ที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นแบ็คอัพ

ขณะที่ครม.ประยุทธ์ 2/2 แม้สามารถเขี่ยนายอุตตม พ้นจากหัวหน้าพรรค-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่ก็ต้องมาหลีกทางให้กับนายปรีดี ชื่อที่ถูกส่งตรงมาจาก “ตึกไทยคู่ฟ้า” และแกนนำก๊ก กทม.ในพรรคพลังประชารัฐ

ถึงแม้จะ ขยับนายปรีดีได้สำเร็จ แต่นายสันติยังต้องเจอ ด่านใหม่-คนเก่า ที่ชื่อ ไพรินทร์ ชูโชติถาวร  กุนซือเศรษฐกิจของ พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิบัติหน้าที่คล้ายหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ หลังม่านบ้านนรสิงห์

โปรไฟล์ นายสันติ “พร้อมมาก” ที่จะมาเป็น “ขุนคลังคนใหม่” เป็นรมช.คลัง มาแล้ว 1 ปี ที่มีนายอุตตมเป็นรัฐมนตรีว่าการ และนายสมคิด อดีตรัฐมนตรีว่าการคลัง “ขุนพลทักษิณ” เป็นเงาขุนคลังในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 2

พร้อมมาก ทำได้ทุกหน้าที่-ทันทีที่พล.อ.ประยุทธ์-พล.อ.ประวิตร สั่งซ้ายหัน-ขวาหัน ทั้งในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ที่ยืนยันว่า ประเทศจำเป็นต้องซื้อเรือดำน้ำ 3 ลำ

แม้ถูกฝ่ายค้านยื่นตรวจสอบวุฒิการศึกษา แต่นายสันติให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่รุก-ไล่เรื่อง “วุฒิการศึกษาปลอม” ว่า เตรียมเข้ารับพระราชทานปริญญาเอก สาขา “รถยนต์ไฟฟ้า” สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง

พร้อมมาก ที่จะเข้ามาผลักดันนโยบายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ยังไม่สามารถแจ้งเกิดได้ในยุคที่นายอุตตมเป็นรมว.คลัง ในยุคที่นายสมคิด เป็นรองนายกฯ กำกับกระทรวงการคลัง

บทเรียนการลาออกจาก “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง” ของ “ปรีดี ดาวฉาย” ภายหลังจากดำรงตำแหน่งได้เพียง 27 วัน ถือว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย” ของนักบริหารมืออาชีพ-มือสะอาด ที่จดจ้องจะเข้าร่วมวงกับ “ประยุทธ์2/3”

เพราะ 27 วันของนายปรีดี มีสิ่ง “ต้องเสียไป” คือ อดเข้าวงการธุรกิจ-ตกงาน 2 ปี

เพราะตำแหน่ง  “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง” ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 หมายถึง “เจ้าพนักงานของรัฐ” หรือ “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง”

หมวด 6 การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม มาตรา 127 ห้ามมิให้กรรมการ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง

และ “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ที่คณะกรรมการป.ป.ช.กำหนด ดำเนินการใดตามมาตรา 126 (4) ภายในสองปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง

มาตรา 126 (4) กำหนดว่า เข้าไปมีส่วนได้เสียในฐานะเป็นกรรมการ ที่ปรึกษา ตัวแทน พนักงาน หรือ ลูกจ้างในธุรกิจของเอกชนซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับ ดูแล ควบคุม หรือ ตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐที่เจ้าพนักงานของรัฐผู้นั้นสังกัดอยู่

หรือปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ซึ่งโดยสภาพของผลประโยชน์ของธุรกิจของเอกชนนั้นอาจขัดหรือแย้งต่อประโยชน์ส่วนรวม หรือประโยชน์ทางราชการ หรือ กระทบต่อความมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานของรัฐผู้นั้น

หมวดบทลงโทษ มาตรา 170 เจ้าพนักงานของรัฐผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 127 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือ ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ

ทำให้นายปรีดี หรือใครก็ตามที่เป็น “คนนอก” หากเข้ามาเป็น “ขุนคลัง” จะไม่สามารถเข้าไปดำรงตำแหน่ง ประธาน-กรรมการ-ที่ปรึกษา แม้กระทั่งพนักงานในบริษัทเอกชนที่อยู่ภายใต้การกำกับ ดูแล ควบคุม หรือ ตรวจสอบของกระทรวงการคลัง

เมื่อสถานการณ์คนใน-อยากนั่ง คนนอก-ไม่อยากเข้า ชื่อนายสันติ จึงพร้อมมาก ลอยวนอยู่เหนือกระแสข่าวเศรษฐกิจติดลบ และรัฐบาลยังรัฐมนตรีคลังคนใหม่ไม่ได้