อนุชา แจง เบี้ยคนชรา-ผู้พิการล่าช้า จ่ายล็อตแรก 2.4 พันล้าน 22 ก.ย.นี้

เยียวยากลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ คนพิการ

อนุชา โฆษกรัฐบาลยืนยันเดินหน้าจ่ายเบี้ยผู้พิการและผู้สูงอายุ พร้อมพัฒนาระบบ E-Payment เพื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินโดยตรง

วันที่ 14 กันยายน 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีชี้แจงการจ่ายเบี้ยคนพิการและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ยืนยันว่า ทั้งกรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณสำหรับจ่ายเบี้ยคนพิการและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง

หลังจากได้มีการปรับปรุงตัวเลขจากเดิมที่ตั้งเบิกจ่ายไว้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2562 พบว่า จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 184,538 ราย จำนวนผู้พิการเพิ่มขึ้น 265,608 ราย ประกอบกับการพัฒนาการโอนตรงด้วยระบบ E-Payment เพื่อเป็นการจ่ายเบี้ยสู่บัญชีธนาคารของคนพิการและผู้สูงอายุโดยตรง ซึ่งมีสูงถึงร้อยละ 80 ส่วนที่เหลือ ร้อยละ 20 ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะทำหน้าที่จ่ายเบี้ยเป็นเงินสด

นายอนุชายืนยันว่า หลังจากการการปรับปรุงระบบจากนี้ไป การชำระเงินให้กับผู้มีสิทธิจะมีความคล่องตัวเพิ่มมากขึ้น เพราะเมื่อผู้สูงอายุหรือผู้พิการได้ขึ้นทะเบียนแล้ว จะได้รับเบี้ยยังชีพในเดือนถัดไปทันทีโดยไม่ต้องรอการประกาศสิทธิ์เหมือนในอดีต สำหรับงวดเดือนกันยายนนี้ ให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้อนุมัติงบเหลือจ่าย เพื่อนำไปจ่ายเบี้ยคนพิการและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุทันที ภายในวันที่ 22 ก.ย.63 จำนวน 2,400 ล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยคนพิการ 700 ล้านบาทและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 1,700 ล้านบาทที่มีการแบ่งจ่ายแบบขั้นบันไดตามช่วงอายุ และจะทยอยจ่ายตามระบบในล็อตถัดๆไป ซึ่งรัฐบาลมีความเป็นห่วงและไม่ได้นิ่งนอนใจในการแก้ไขปัญหา

นายอนุชากล่าวเพิ่มเติมถึงความล่าช้าในการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2564 ตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของผู้สภาผู้แทนราษฎร ในวาระที่ 2 และ 3 ในช่วงสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจมีความล่าช้าไม่เกิน 1 อาทิตย์ และสำนักงบประมาณจะนำเรื่องดังกล่าวแจ้งให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรับทราบ เนื่องจากต้องมีการใช้งบประมาณประจำปี 2563 ไปพลางก่อน

นายอนุชาชี้แจงผลการวิจัยว่าจะมีจำนวนผู้ตกงานในภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจค้าปลีก/ค้าส่ง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นการทำวิจัยตั้งแต่เดือนเมษายน ซึ่งไม่ใช่ข้อมูลล่าสุดและเป็นเพียงการนำตัวเลขจากสถิติมาคาดคะเนสถานการณ์เศรษฐกิจ หากนำมาอ้างอิงอาจคลาดเคลื่อนและผิดพลาดได้

“รัฐบาลได้จัดเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการกระตุ้นการท่องเที่ยว ที่รัฐบาลสนับสนุนภาคธุรกิจโรงแรมและสายการบิน มาตรการส่งเสริมการจ้างงานสำหรับบัณฑิตจบใหม่ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ปวช. และ ปวส. กว่า 260,000 ตำแหน่ง โดยรัฐบาลจะสนับสนุนผู้ประกอบการในการจ่ายเงินเดือนร้อยละ 50 รวมถึง ศบศ. จะมีการพิจารณามาตรการต่าง ๆ ในอนาคต อาทิ สนับสนุน Soft Loan หรือกระตุ้นการใช้จ่ายในร้านค้าปลีกขนาดย่อย เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป”