จากเงาทักษิณ-สู่มือขวาประวิตร อนุชา นาคาศัย ‘ไม่ให้ประยุทธ์ลาออก’

สัมภาษณ์พิเศษ
ปิยะ สารสุวรรณ

 

อดีตขุนพลไทยรักไทย-พรายกระซิบ “ทักษิณ ชินวัตร” และเกือบจะ “รั้งตัว” ไม่ให้เป็น “ผู้นำพเนจร” และ “ไม่มีแผ่นดินอยู่” เขาคือ “อนุชา นาคาศัย” อดีตกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคไทยรักไทย-สมาชิกบ้านเลขที่ 111

“อนุชา” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี-เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ แกนนำสามมิตร-นักการเมืองดาวฤกษ์ ที่มีแสงในตัวเอง ปิดห้องคุย-เปิดใจกับนักข่าวการเมือง-เศรษฐกิจทำเนียบรัฐบาล ทั้งออน-ออฟเร็กคอร์ดร่วมสมัยทุกประเด็นเผ็ดร้อน

ม็อบราษฎร “ไม่ชนะ”

“อนุชา” หรือ ที่ “คอการเมือง” ทั้งใน-นอกวงการ เรียกกันจนติดปากว่า “เสี่ยแฮงค์” ไม่บ่อยครั้งที่จะเห็นเขาลุกขึ้นพูดในสภาแบบฉะฉาน-จัดเจน สมราคา “อดีตขุนพลไทยรักไทย”

การอภิปรายแบบไม่ลงมติเพื่อหาทางออก กรณี 3 ข้อเรียกร้องของ “ม็อบราษฎร” เขาลุกขึ้นพูดในฐานะ “นักการเมืองรุ่นเก๋า” ที่อ่านเกมการเมืองขาด “ทะลุหัวใจ” ม็อบราษฎร จาก “ประยุทธ์ต้องลาออก” ถึง “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์”

“ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่ให้นายกฯลาออก ผมเองยืนยันและบอกกับนายกฯว่า ห้ามลาออก เพราะหากนายกฯลาออกเท่ากับว่าเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

เป็นคำอภิปรายในสภาของ “อนุชา” ยากที่ใครจะลุกขึ้นวีโต้

“ผมมีเหตุผลที่พูด (ในสภา) อย่างนั้น และไม่ใช่เหตุผลแบบคนทั่วไป เรามีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ข้อดีของประเทศกำลังพัฒนา ไม่ตกไปใต้ปากกระบอกปืน”

“คำว่าอำนาจไม่มีใครไม่อยากได้ คนที่มีอำนาจมากที่สุดในประเทศที่กำลังพัฒนาคือคนถืออาวุธ ใครบอกจะสู้ ๆ เอาเหอะ เสียงปืนดัง ผมเชื่อได้ไม่มีทางเลยไม่มีใครอยู่สักคนหรอก แต่เรามีอำนาจที่คานอยู่ เราถึงไม่อยู่ภายใต้ปากกระบอกปืน”

“เป็นคุณูปการที่ทำให้เรารอดใต้การปกครองโดยอาวุธปืน จากประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ประกอบกับประเทศข้างบ้านอยู่ใต้ปากกระบอกปืนหมด คำว่าอำนาจ คือ เรื่องของการเมืองในการบริหารทรัพยากรของแผ่นดิน ถ้าไม่ใช่ประเทศพัฒนาแล้ว ไม่มีทางสู้คนที่มีอาวุธปืนได้”

“อนุชา” เล่าย้อนถึงเหตุผลการลุกขึ้นอภิปรายในวันนั้น และวิเคราะห์แบบฟันฉับว่า ม็อบราษฎร “ไม่มีทางชนะ” เพราะหนึ่ง มีคนจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้อง
“และสอง ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาความรุนแรงเกิดขึ้นใครชนะ ผมไม่อยากให้วันนั้นมาถึง แล้วมันถึงแน่ ๆ ถ้ายังเป็นแบบนี้ สิ่งที่ควรดับได้ก็ควรดับ ถ้าคุณไม่ดับ อนาคตกับสังคมมันจะแตกแยกอย่างรุนแรง”

เมื่อทหารไม่ขยับ เพราะ “รัฐประหารติดลบ” จนเกิด “ม็อบชนม็อบ” รัฐบาลจะ “ห้ามมวย” อย่างไร เพราะถ้าเกิดความรุนแรงเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น “ม็อบจัดตั้ง” หรือ “มือที่สาม” สร้างสถานการณ์ สุดท้าย “บาป” จะถูกโยนมาทุ่มใส่รัฐบาล ?

“ถึงจะโยนความผิดมาให้รัฐบาลอย่างไรก็แล้วแต่ สิ่งที่รัฐบาลจะต้องรับ คือ รับกรรมไป รัฐบาลไม่มีทางจัดการได้เลย แต่รัฐบาลปัจจุบันไม่มีเรื่องรุนแรงรับรองได้ เพราะรัฐบาลอยู่ก็เท่านั้น ไม่อยู่ก็เท่านั้น ไม่เห็นตายเลย เดี๋ยวก็เลือกตั้งใหม่”

ส่วนข้อเรียกร้องให้ “พล.อ.ประยุทธ์ลาออก” ความเป็นไปได้ “ศูนย์เปอร์เซ็นต์”

“ผมค้านเต็มที่ถ้านายกฯลาออก ไม่ใช่ระบบ ผมไม่เคยลงถนน ถ้าคิดว่าเป็นประชาธิปไตยจริง 4 ปี คุณต้องมาเลือกตั้ง แก้รัฐธรรมนูญมา”

รัฐธรรมนูญทางออก

จุดที่ “ประนีประนอม” ที่พอจะทำได้ในมุมมองของเขาขณะนี้ คือ “การแก้ไขรัฐธรรมนูญ”
“รัฐบาลพยายามแก้รัฐธรรมนูญ สิ่งที่จะแก้ได้มีสิ่งเดียว ณ ปัจจุบันที่พอจะนำพาไปสู่สันติสุขได้ คือ การแก้รัฐธรรมนูญ เป็นสิ่งเดียวที่ทุกคนพอจะเห็นพ้องต้องกันได้”

ทว่าดูเหมือนรัฐบาลคุมเกมฝ่ายค้าน พรรคตัวเอง-พรรคร่วมรัฐบาลไม่อยู่ ทั้งเกมของประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย และ 25 ส.ส.พลังประชารัฐ ที่แตกแถว-ลงชื่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความร่างตัวเอง ? “พ่อบ้านพลังประชารัฐ” กุมขมับ

“อาจจะมีคนคิดอยากสร้างเงื่อน หรือคิดว่าปกป้องตัวเองในแง่ของผิดรัฐธรรมนูญแล้วไปเซ็น เพราะรัฐธรรมนูญไม่มีให้แก้ทั้งฉบับ แต่เป็นประเด็นปลีกย่อย อย่าเอามาใส่ใจ ประเด็นแก้ (รัฐธรรมนูญ) คือแก้ ถ้าผิดไปจากอื่น ผมไม่ยอม”

“อนุชา” ย้ำว่า “สิ่งเดียวที่พอจะทำให้สังคมสงบสุขได้ คือ “การแก้รัฐธรรมนูญ” และรับประกันว่า “พรรคร่วมรัฐบาล” ทั้งประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย เห็นพ้องต้องกันเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่มีการดึงเกม-ซื้อเวลา

รวมถึง “ขาป่วน” และ “ตัวทำเกม” ในพลังประชารัฐ เช่น “ไพบูลย์ นิติตะวัน” เอ๋-ปารีณา ไกรคุปต์ และ “สิระ เจนจาคะ” จนถูกมองว่า “บิ๊กป้อม” คุมเกมไม่อยู่

“บางคนในพรรคพลังประชารัฐเรารู้อยู่ว่า เป็นปัจเจกบุคคล ต้องยอมรับว่ามีคนอย่างนั้นเกิดขึ้นในแผ่นดินจริง ๆ นะ คนอย่างนี้มีในโลก คนบางคนหลุดโลก แต่ประชาชนเลือกเขาเข้ามา เป็นของแท้ สิบนายกฯก็คุมไม่อยู่”

จาก “ทักษิณ” ถึง “ธนาธร”

“ถ้าแก้รัฐธรรมนูญ คุณต้องยอม คุณต้องถอย คุณต้องไม่เล่นการเมืองสุดโต่ง คุณก็รู้ว่าคุณถูกจับจ้อง ทั้ง ๆ ที่คุณนายกฯแท้ ๆ นายกฯเห็น ๆ แต่สิ่งที่คุณทำบกพร่อง”

“ผมถูกตัดสิทธิทางการเมืองมา ผมเคยลงมาเดินสักครั้งไหม ผมเคยไปยุใครสักครั้งไหม ไม่มี รับรองได้ ผมเป็นลูกผู้ชายถูกตัดสิทธิทางการเมือง 11 ปี 12 ปี ผมไม่เคยพูดสักครั้งเดียว”

“การเมืองผมก็เดินเท่าที่ผมเดินได้ ผมทำในสิ่งที่ผมพอทำได้ นั่นคือการเมือง บางคนว่านักการเมือง ผมก็เสียใจ แต่ปัญหาตอนนี้คือ คุณเอาสุดโต่ง สิ่งที่คุณจะทำ คุณคิดเร็วเกินไป คิดสุดโต่งเกินไป”

“คุณจะเป็นผู้นำจิตวิญญาณ คุณเก่ง ผมไม่ได้ว่า แต่คุณต้องคิดให้ออกว่า คุณนำพาไปแล้ว คุณได้ถึงจุดจุดนั้นหรือไม่ ประเทศมันจะเกิดอะไรขึ้น คุณต้องคิดให้ได้ด้วย ถ้าคุณคิดดี คุณเป็นนายกฯแน่ แต่คุณคิดผิดแล้ว”

“สิ่งที่เกิดขึ้นมาคือ ระบบแบบไทย ๆ คุณจะเปลี่ยน คุณต้องมีความแยบยลมากกว่านี้ คุณต้องมีความอดทนมากกว่านี้ ถ้าคุณบอกว่าไม่มีคนกล้าแบบคุณแล้วจะเปลี่ยนไม่ได้ คิดอย่างคุณก็อาจจะถูกและก็อาจจะผิด”

“อดีตขุนพลไทยรักไทย” เล่าย้อนระหว่างทางชีวิตในการเมืองตั้งแต่พรรคไทยรักไทย และเป็นคนทำนายชะตากรรมทางการเมืองของ “ทักษิณ” ว่า “จะไม่มีแผ่นดินอยู่”

“ผมบอกว่า นายกฯทักษิณอยู่ไม่ได้หรอกพอยุบพรรคไทยรักไทย พวกผมในกลุ่มสามมิตรบอกกับท่านเลยว่า เราอยู่ด้วยกันไม่ได้ เราต้องแยกเป็นพรรคเล็ก”

“ผมไม่เคยทิ้งท่าน (ทักษิณ) การเมืองต้องวิเคราะห์ตรงไปตรงมา อยู่ไม่ได้ก็คืออยู่ไม่ได้ ถึงเวลาที่ต้องออกมาตั้งพรรคมัชฌิมาฯก็ต้องบอก ชัดเจน ตรงไปตรงมา ไม่เคยทิ้ง” เขายืนยันหนักแน่นว่า ไม่เคยทรยศทักษิณ

“เราบอกก่อนแล้ว การเมืองอย่างนี้เดินไม่ได้ ถ้าวันนี้เขาเชื่อผม เชื่อพวกเรา วันนี้ไม่เป็นของเขา วันที่เขาต้องอยู่ต่างประเทศ”

“เราอยู่ด้วยกันไม่ได้ ต้องเป็นพรรคเล็ก ๆ เพื่อไม่ให้เกิดระแวงซึ่งกันและกัน แล้วจะมารวมกันตั้งรัฐบาลก็ว่ากันไป แต่ไม่ใช่ power full อำนาจ เป็นผมผมก็กลัว”

ทว่าเมื่อ “ทักษิณ” เลือกที่จะ “ชน” คำพยากรณ์ของอนุชาจึงเป็นจริง ซึ่งเป็นการเดินหมากเกมทางการเมืองที่เขาไม่เคยสนับสนุน

“พวกผม คือ พวกที่มีแสงในตัวเอง ผมไม่จำเป็นต้องพึ่งท่าน (ทักษิณ) ผมจะอยู่พรรคเล็กพรรคน้อย ผมก็อยู่ได้ มีคนส่วนหนึ่งที่ต้องพึ่งท่าน เป็นสิ่งที่ทำให้ท่านตาย”

ตัวตนคนชื่อ “แฮงค์”

แม้ “อนุชา” จะคร่ำหวอดอยู่กับการเมืองไทยตั้งแต่ยุคไทยรักไทยเรืองรอง-อยู่ครบวาระ 4 ปี แต่น้อยครั้งที่เขาจะลุกขึ้นลับฝีปาก-พ่นโวหารในสภา เมื่อถึงเวลา “ทีเด็ดทีขาด” เขาจึงพูดแบบหนักแน่น “ท่านนายกฯต้องไม่ลาออก”

“เป็นครั้งที่สองในชีวิตที่พูดในสภา ปกติไม่พูดเลย ก่อนเป็นรัฐมนตรีไม่เคยพูด(ในสภา) แม้แต่ครั้งเดียว ผมไม่ต้องการเป็นนักการเมืองที่เกิดจากคำพูดมันง่ายบางครั้งยิ่งพูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ผมต้องการเป็นคนที่แตกต่าง”

“ผมพูดได้ แต่ผมไม่ต้องการว่าใช้คำพูดที่เป็นสื่อทางการเมือง ผมต้องการในตัวตนของผม ต้องทำงานก่อนเราถึงจะพูดได้”

ตัวตน-เนื้อแท้ของคนชื่อ “อนุชา นาคาศัย” เป็นอย่างไร ?

“ของแท้ ถ้าผมพูดอะไรออกไป ผมยืนยันได้เลยว่า ผมไม่มีทางพลิกคำพูดผมแน่ นี่คือสิ่งที่ทำให้ผมพูดน้อย ไม่มีวันที่ผมจะพลิกคำพูดของผม พูดแล้วต้องชัดเจน พูดออกมาแล้วคนตอบโต้เราลำบาก”

“ผมชัดเจนที่สุดเลย เพราะผมจะพูดอะไร ผมต้องกลั่นแล้วว่า เป็นสิ่งที่เป็นจริง เป็น fact ที่เป็นตัวผม และต้องเล่นการเมืองแบบตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ผมเป็นคนไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่เคยพูดด่าใครลับหลัง”

“บางคนเล่นการเมืองจนคนขาดศรัทธานักการเมือง ไม่ spirit ไม่มีแนวคิดทำบ้านเมืองให้ดี ผมไม่โทษคนโกง คนโกงไม่ได้น่ารังเกียจเลย แต่คนที่ทำร้ายบ้านเมืองกับคนที่ไม่ทำอะไรเลย เป็นสังคมน่ารังเกียจ”

“คนเข่นฆ่ากันในเรื่องทุจริตจนทำให้สังคมไปไม่ได้ ต่อไปจะมีแต่โกงที่แนบเนียน กับคนที่ไม่อยากทำอะไร งบประมาณเสียไปกับเงินเดือนเท่าไหร่ เรียกว่าทุจริตไหมถ้าไม่ทำอะไร ทุจริตเวลา ต้องกลับมาคิดกันใหม่ ไม่ใช่มีองค์กรเอาไว้ฆ่าคน”

แม้ “อนุชา” จะควบตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี-เลขาธิการพลังประชารัฐ แต่เขาเป็นนักการเมืองประเภท “ปิดทองหลังพระ” ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็น “แม่บ้าน” หรือเทียบชั้นเป็น “ผู้จัดการรัฐบาล”

“ผมถือว่าเป็นงานชิ้นหนึ่งที่ต้องทำ ผมเป็นคนไม่ชอบออกหน้า”