5 ปัจจัยต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินคราวที่ 8 ทั่วโลกระบาดหนัก-เสี่ยงระลอกใหม่

อนุชา บูรพชัยศรี : ภาพทำเนียบรัฐบาล

ครม.มีมติเห็นชอบต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คราวที่ 8 ออกไปอีก 45 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 63 จนถึงหลังปีใหม่-15 ม.ค. 2564 สมช. ชง 5 ปัจจัย ทั่วโลกระบาดหนัก-ระลอกสอง ประเทศเพื่อนบ้านน่าวิตก ไทยเฝ้าระวัง-เสี่ยงระบาดรอบใหม่

เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 และสิ้นสุดในวันที่ 15 มกราคม 2564 ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ

เรื่องเดิม เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ 7) ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 และสิ้นสุดในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 เพื่อขยายระยะเวลาการบังคับใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในประเทศ

การดำเนินการที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2563 สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติในฐานะศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้เชิญหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการในด้านต่าง ๆ ตามพระราชกำหนดฯ ผู้แทนส่วนราชการและประชาคมข่าวกรองเข้าร่วมการประชุม โดยมีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นประธาน เพื่อประเมินผลการปฏิบัติของส่วนราชการต่าง ๆ ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินและพิจารณากำหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

1.ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในภาพรวมทั่วโลกยังมีแนวโน้มทวีความรุนแรงและพบการระบาดระลอกที่สอง ในหลายภูมิภาค โดยมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 5 แสนคนทั่วโลก โดยปัจจุบันประเทศหลายประเทศในทวีปยุโรปได้กลับมาใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดอีกครั้ง นอกจากนี้จากการประเมินขององค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะรุนแรงมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว โดยคาดว่าจะมีผู้ติดเชื้อ 60 – 62 ล้านคนทั่วโลก

2.นอกจากนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศเพื่อนบ้านยังคงน่าวิตก โดยในประเทศเมียนมาและมาเลเซียพบผู้ติดเชื้อประมาณหนึ่งพันคนต่อวัน และประเทศกัมพูชายังตรวจพบเจ้าหน้าที่อารักขารัฐมนตรีฮังการีติดเชื้อ 1 ราย สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยยังคงอยู่ในห้วงที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดและมีความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดระลอกใหม่ เนื่องจากมีการพบผู้ติดเชื้อในกลุ่มนักท่องเที่ยวและผู้เดินทางกลับมาจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

3.ที่ประชุมยังให้ความคิดเห็นเพิ่มเติมว่ามีความจำเป็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อบังคับใช้มาตรการด้านสาธารณสุขรองรับช่วงเทศกาลคริสต์มาสและเทศกาลขึ้นปีใหม่ 2564 รวมถึงการจัดการแข่งขันแบดมินตันระดับนานาชาติ (BWF World Tour) ที่จะจัดขึ้นในประเทศไทยระหว่างวันที่ 12-31 มกราคม 2564 ซึ่งจะมีการรวมกลุ่มของประชาชน การเดินทางข้ามจังหวัดและการเดินทางเข้าออกประเทศมากกว่าในเวลาปกติ อีกทั้งปัจจุบันยังปรากฏสถานการณ์การรวมกลุ่มของประชาชนเพื่อชุมนุมประท้วง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระลอกที่สองอีกด้วย

4.ที่ประชุมเห็นพ้องว่ายังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจอย่างเพียงพอในการปฏิบัติงานที่จำเป็นเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นการคุ้มครองการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อย่างเหมาะสมต่อไป

5.สมช.ได้นำผลการประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดังกล่าวเข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 14/2563 เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบผลการประชุม และมีมติให้นำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรต่อไป