การเมือง 2564 บัญญัติ ชี้ ปีรัฐธรรมนูญเดือด ปชป.ต่อรองจนได้ พ้นจุดต่ำสุด

สัมภาษณ์พิเศษ
ปิยะ สารสุวรรณ

การเมืองปี 2564 เดินทางมาถึง “ทางสองแพร่ง” ทั้งเรื่องการเมือง-เศรษฐกิจที่มีการระบาดโควิด-19 ระลอกสอง “ผสมโรง” เป็น “จุดตัด” สำคัญของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์

“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “บัญญัติ บรรทัดฐาน” นักการเมืองอาวุโสแห่งพรรคประชาธิปัตย์ วิเคราะห์การเมืองปี 2564 จะร้อนแรง และยกให้เป็น “ปีแห่งรัฐธรรมนูญ” คือ “จุดตัด” ทางการเมืองครั้งสำคัญ

2564 ปีแห่งรัฐธรรมนูญ

“บัญญัติ” สวมแว่นผู้มีอาวุโส-ผ่านร้อนผ่านหนาวทางการเมือง ฉายภาพการเมืองปี 2564 ว่า ยังคงยุ่งเหยิง ไม่ต่างจากปี 2563 หรืออาจร้อนแรงกว่าด้วยซ้ำ ผู้ชุมนุมประกาศหยุดยั้งชั่วคราว ปีหน้าว่ากันใหม่ การชุมนุมจะร้อนแรงขนาดไหนขึ้นกับ ตัวแปรแรก คือ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่สอง ผู้ชุมนุมค่อนข้างหวั่นไหวในสวัสดิภาพของตัวเองเหมือนกันอยู่ที่การระบาดจะลากยาวแค่ไหน

ตัวแปรที่สอง ขึ้นกับท่วงทำนองของรัฐบาล ที่จะเข้ามาจัดการกับความขัดแย้ง เพราะม็อบเบาบางลงเพื่อรอจังหวะเท่านั้น ตัวแปรที่สาม คือ อารมณ์ร่วมของสังคม กลุ่มคนต่อต้านบางกลุ่ม (กลุ่มสนับสนุนรัฐบาล) จะเคลื่อนไหวด้วยและเกิดการปะทะ ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น

“ประเด็นหลักของความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน คือ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในวาระที่สาม ตรงท่วงทำนองของวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวนหนึ่ง ซึ่งแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจนจะนำไปสู่ประเด็นขัดแย้ง”

“ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น ไม่เพียงแต่เป็นเสียงเรียกร้องของ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งฝ่ายข้างมากแต่เสียงเรียกร้องความต้องการของผู้ชุมนุมข้างนอกก็มีด้วย”

“บัญญัติ” จึงยกให้การเมืองปี 2564 เป็น “ปีแห่งรัฐธรรมนูญ” เพราะถ้ารัฐธรรมนูญผ่านต้องทำกันทั้งปี มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ความขัดแย้งเรื่องรัฐธรรมนูญยังคงมีอยู่ต่อไป แต่ถ้าไม่ผ่านความขัดแย้งการชุมนุมนอกสภาจะรุนแรงมากขึ้น

4 ปมขัดแย้งในรัฐธรรมนูญ

“บัญญัติ” ไม่ตอบตรง ๆ ว่า ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่านจะส่งต่อเสถียรภาพของรัฐบาลอย่างไร แต่สนทนาธรรมให้เห็นถึงความสำคัญของรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลไม่ควรให้ “ความสำคัญต่ำ” เพราะมีปัจจัยหลักที่แสดงให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญมีความสำคัญ

1.เป็นความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์ 2.ข้อกังขาการสืบทอดอำนาจ 3.ประเด็นเห็นต่างเรื่องรัฐธรรมนูญจะลากยาวทั้งปี 4.ข้อกล่าวหารัฐบาลไม่จริงใจ-ซื้อเวลา

“ปัจจัยนี้ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาล ในทางตรงกันข้าม การจัดทำรัฐธรรมนูญโดยการแสดงออกถึงความจริงจังของรัฐบาล เป็นคุณกับรัฐบาลเองด้วยซ้ำ นอกจากความขัดแย้งลดน้อยถอยลงแล้ว รัฐบาลยังมีเวลาแก้ปัญหาอื่นไปด้วยอย่างน้อยอีก 1-2 ปี”

ประชาธิปัตย์ถือธงนำแก้รัฐธรรมนูญ

เมื่อ 1 ในเงื่อนไขของ “พรรคต้นสังกัด” คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2564 จะเห็นบทบาทประชาธิปัตย์ถือธงนำในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มหรือไม่ ?

เราคงรณรงค์กันต่อ หลังจากมี ส.ส.ร.กันแล้ว พรรคการเมืองทุกพรรค ไม่ใช่ประชาธิปัตย์พรรคเดียว ต่างต้องเร่งเสนอแนวคิดของตัวเอง เพื่อที่จะให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และ ส.ส.ร.ได้เอาไปบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ

“พูดไว้ได้เลยว่าถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังคงอยู่จนถึงการเลือกตั้งคราวหน้าจะมีพรรคการเมืองในสภามากกว่าที่มีในปัจจุบัน เพิ่มขึ้นอีกหลายพรรค เขาส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ถ้าในแต่ละเขตได้ 1 แสนคะแนน เขาได้แน่นอน บัญชีพรรค”

“บัญญัติ” ในฐานะนั่งอยู่ในคณะกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่กังวลเรื่องการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่ารัฐสภาสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ พร้อมชี้ทางออกโดยการทำประชามติถามประชาชน 2 ครั้ง บวกคำถามพ่วง

“ประชามติครั้งแรกรัฐธรรมนูญเขียนไว้ เราก็ทำคำถามพ่วงไปเสียเลยว่าทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าได้เสียงข้างมากก็จบ พอร่างรัฐธรรมนูญเสร็จให้ทำประชามติอีกครั้งหนึ่ง”

ศึกซักฟอก-เลือกตั้งท้องถิ่นระอุ

นอกจากนี้ ในปี 2564 “การอภิปรายไม่ไว้วางใจ” และ “การเลือกตั้งท้องถิ่น” จะทยอยเกิดขึ้นในปีหน้าจะเพิ่มอุณหภูมิให้การเมืองร้อนแรงปรอทแตก

“การหยิบประเด็นความไม่ชอบมาพากล การทุจริต ความบกพร่องของรัฐบาล มาเปิดโปงในรัฐสภา รุนแรงแน่ เพราะช่วงหลัง ๆ ใครหยิบประเด็นไหนขึ้นมาก็กลายเป็นเรื่องน่าสนใจทั้งนั้น”

และเราเพิ่งผ่านการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) สมาชิก อบจ. เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563 ซึ่งการเลือกตั้งท้องถิ่นเที่ยวนี้ค่อนข้างจะหนักหน่วงรุนแรง

เที่ยวหน้า ต่อไปจะมีการเลือกตั้งในท้องถิ่นอีก ทั้งนายกเทศมนตรี สมาชิกสภาเทศมนตรี สภาเทศบาล นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) สมาชิก อบต. ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) และเมืองพัทยา ส่งผลถึงการเมืองระดับชาติ เพราะการเมืองระดับชาติเป็นการเมืองที่ต้องอิงเสียงที่ได้รับมาจากพื้นที่ ถึงช่วงชิงกันมากขึ้น

โควิด-ไฟเศรษฐกิจลามทุ่งทำเนียบ

ทว่าเมื่อการเมืองคือมายา-ข้าวปลาเป็นของจริง “บัญญัติ” จึงไม่พลาดที่จะ “ขมวดปมการเมือง” ทั้งหมดโยงเข้าสู่เรื่องเศรษฐกิจ-ปัญหาปากท้องที่จะเป็น “ตัวเร่ง” ให้ประกายไฟลามทุ่งทำเนียบรัฐบาล

“สภาพการณ์ทางด้านเศรษฐกิจหรือทางด้านสังคมของประเทศจะเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะทำให้การเมืองร้อนหรือไม่ร้อน การเมืองจะเรียบร้อยหรือไม่เรียบร้อย”

“แม้ตอนที่ยังไม่มีสัญญาณการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่นี้ เราก็อกสั่นขวัญแขวนกับภาวะเศรษฐกิจอยู่แล้ว เราเห็นการว่างงานเพิ่มมากขึ้นทุกวัน”

“การลงทุนโดยภาคเอกชนไม่เพิ่ม สถานประกอบการขนาดเล็ก ขนาดย่อมที่ยังคงอยู่ ก็อยู่ในลักษณะที่ประคองตัวเองอ่อนแอด้านการเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ”

คนกังวลเรื่องหนี้เสียที่อาจจะเกิดขึ้นในสถาบันการเงิน หวังการลงทุนภาครัฐ หวังเงินที่อัดฉีดลงไปจากรัฐบาลเองเท่านั้นที่คอยประคับประคอง ภาคการเกษตรเองยังได้รับอานิสงส์จากนโยบายประกันรายได้ ไม่เช่นนั้นจะยิ่งกว่านี้

“ถ้ารัฐบาลไม่สามารถประคับประคองสภาวการณ์เช่นนี้ได้ ปล่อยให้การว่างงานเพิ่มมากขึ้น ผมคิดว่าต่อไปการชุมนุมเรียกร้องที่มีอยู่ข้างนอก อาจจะไม่เป็นเพียงการชุมนุมเรียกร้องในประเด็นเรียกร้องทางการเมืองเท่านั้น แต่จะมีประเด็นทางด้านเศรษฐกิจ อาจมีประเด็นเรื่องความเดือดร้อนของผู้ประกอบอาชีพต่าง ๆ มาร่วมชุมนุมด้วย”

ส่วนความแรงของสภาวการณ์เศรษฐกิจที่ “บีบคั้น” ถึงขั้นเปลี่ยนตัวนายกฯ-เปลี่ยนรัฐบาลหรือไม่ “บัญญัติ” ชี้ว่าขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการ

หนึ่ง คุณจะจำกัดความขัดแย้งทางการเมืองไม่ให้มากกว่านี้ได้อย่างไร อะไรพอที่จะรับกันได้ รับกันไม่ได้ขนาดไหนควรจะดูให้รัดกุมรอบคอบ เลิกคิดว่าอำนาจจะจัดการได้ทุกอย่าง

สอง คุณจะประคับประคองเศรษฐกิจในวันนี้ไม่ให้เลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่ได้อย่างไร จะทำให้ความหวังของคนจำนวนมากว่า เศรษฐกิจของเราจะฟื้นตัวได้ อย่างน้อยครึ่งหลังของปี 2564 ได้หรือไม่

“อย่างน้อยรัฐบาลต้องประคองเศรษฐกิจและการเมืองให้ผ่านช่วงครึ่งปีแรกให้ได้ก่อน เพื่อให้ครึ่งหลังปี 2564 ค่อย ๆ คลี่คลาย ตามที่ได้ให้ความมั่นใจกับสังคมไว้ว่าปลายปีจะฟื้นตัว”

“ฉะนั้นปี 2564 ทั้งปี นอกจากจะเป็นปีแห่งความร้อนแรงทางการเมืองแล้ว จะเป็นปีของการท้าทายความสามารถของรัฐบาลทั้งสองทางในเวลาเดียวกัน”

1 ปีก้มหน้าทำงานเต็มที่

“บัญญัติ” ประเมิน performance 1 ปีที่ผ่านมา “รัฐมนตรี” ของประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล “ท็อปฟอร์ม” แค่ไหน ? ว่า “เราสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าคนของเราที่เข้าไปทำงานตรงนั้น ทุกคนทำงานเต็มที่”

สำคัญที่สุด ทุกอย่างที่ไปต่อรองกับรัฐบาลไว้ นโยบายที่เราอยากเห็น อยากทำ เกิดขึ้นได้ รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุน การเข้าร่วมรัฐบาลก็พอที่จะคุ้มได้

“ผมคิดว่าข้อต่อรองที่ไปต่อรองกับรัฐบาลในเวลานั้น เราทำได้ครบถ้วน เพียงแต่ช่วงเวลาที่ผ่านมารัฐมนตรีของเราก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่ค่อยจะได้ทำการตลาดมากนัก จึงอาจจะไม่ปรากฏความโดดเด่นอะไรมาก”

“ในฐานะของคนทำงานเรารู้ว่าเราทำงานได้ตามที่ต่อรองเอาไว้แล้ว เรามั่นใจว่า ประชาชนได้รับประโยชน์จากการทำงานตามนโยบายของพวกเรา ประชาชนรับทราบกันดี สามารถสนองความต้องการในส่วนที่เขามีปัญหาได้ครบถ้วน ส่วนจะปรากฏผลงานเป็นที่โดดเด่นกันมากน้อยแค่ไหน คิดว่ายังเป็นความสำคัญในระดับรองลงมา”

อย่างไรก็ตาม “สำนักโพล” และคนภายนอกมองเข้าไปในพรรค ผลงานส่วนใหญ่เป็นเรื่องประกันรายได้ แต่วิกฤตใหญ่ของรัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่มีบทบาท ? เขาปฏิเสธทันควัน

“ไม่ ๆ ตรงนี้ต้องแยกให้ออกเหมือนกันว่าระหว่างพรรคการเมืองที่เป็นแกนกับพรรคการเมืองที่ไปร่วม บทบาทของใครอยู่ตรงไหนอย่างไร พรรคที่ไปร่วมความโดดเด่นก็จะลดน้อยกว่าพรรคที่เป็นแกนเป็นเรื่องธรรมดา”

ความพึงพอใจของพรรคการเมืองน่าจะอยู่ตรงที่เราทำครบถ้วนตามที่ไปพูดจากันไว้แล้วหรือไม่ แก้ปัญหาประชาชนได้มากน้อยขนาดไหน ถ้าเอาตรงนี้เป็นหลัก เราน่าจะพอทน

“วันนี้มีเรื่องหนักใจอยู่ คือ เรื่องรัฐธรรมนูญเรื่องเดียวเท่านั้นที่ดูยังมีประเด็นของความขัดแย้งให้เห็นอยู่ว่าจะราบรื่นไปตามสิ่งที่เราอยากเห็น ถึงขนาดเอาไปต่อรองเป็นนโยบายเพื่อเข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่”

ให้ “บัญญัติ” วิเคราะห์บุคลิกของรัฐบาลขณะนี้ไม่เหมือนกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมองอย่างนั้นหรือไม่ ?

เป็นเรื่องปกติ เพราะผู้มีอำนาจหลักในรัฐบาล แม้จะอ้างว่ามาตามรัฐธรรมนูญ แต่แน่นอนความชัดเจนย่อมจะแตกต่างจากกับรัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองแท้ ๆ ที่นำเสนอนโยบายในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง

“วันนี้เป็นแต่เพียงช่วงเปลี่ยนผ่านช่วงหนึ่งเท่านั้นเอง รัฐบาลกลายเป็นพรรคที่มีหลายพรรคประกอบกันมากเหลือเกิน จนกระทั่งเรียกว่าจะหาเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรัฐบาลจริง ๆ ที่ชัดเจน เข้าใจได้ คาดการณ์ได้ว่าถ้ามาเป็นอย่างนี้รัฐบาลคงจะต้องทำอย่างนั้น มันเลยกลายเป็นว่าคาดการณ์ไม่ได้”

ประชาธิปัตย์ ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว

พรรคประชาธิปัตย์มีปัญหาเรื่อง “เสื่อมความนิยม” บวกกับปัญหาความขัดแย้งภายในพรรค คำถาม คือ ประชาธิปัตย์ถึงจุดต่ำสุดแล้วหรือยัง และการเลือกตั้งครั้งหน้าจะกลับมายิ่งใหญ่ได้หรือไม่ ?

“พูดกันยาก แต่ทุกคนในพรรคยังมีการทบทวน สรุปบทเรียน ซึ่งมีทั้งปัจจัยภายในของเราเอง มีทั้งปัจจัยภายนอก มีทั้งภาวการณ์ของสังคมที่สับสนอลหม่าน ผมคิดว่าไม่ต่ำไปกว่านี้แน่นอน ผมมั่นใจ ทุกคนทำงานหนัก”

การเลือกตั้งครั้งหน้าประชาธิปัตย์จะกลับมา บัญญัติตอบว่า “ต้องดีขึ้น เพราะเราเคยเจอภาวการณ์เช่นนี้หลายครั้ง ประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่วิจารณ์ตัวเองและสรุปบทเรียนอยู่เสมอ”

“พรรคการเมืองทุกพรรคที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ ต่างต้องมานั่งทบทวนบทเรียน จึงทำให้การเมืองในช่วงนี้เป็นการเมืองในช่วงของการเปลี่ยนผ่านของหลายพรรคไม่ใช่เป็นเพียงช่วงเปลี่ยนผ่านของการเมืองใหญ่ของประเทศเท่านั้น”

ส่วนการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในปี 2564จะเป็นนิมิตหมาย-ปักหัวหมุดแรกในการกลับมา “ทวงความยิ่งใหญ่” หรือไม่

“ผู้บริหารคิดเรื่องนี้กันอยู่ มีคณะทำงานและเตรียมการ ผมคงไม่อยู่ในวิสัยที่จะตอบแทนได้ แต่ขอให้เข้าใจว่าทุกฝ่ายกำลังตระเตรียมการอยู่ ความพยายามในการฟื้นฟูพรรคให้อยู่ในสายตาคนมากขึ้น อยู่ในสายตาประชาชนมากขึ้น ให้ประชาชนเข้าใจเรามากขึ้น”