ศึกเลือกตั้งซ่อม “เมืองคอน” เปิดตัว “พรรคกล้า” ปะทะสงครามตัวแทน

การเลือกตั้งซ่อมเขต 3 จังหวัดนครศรีธรรมราช แทน เทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.เมืองคอน พรรคเก่าแก่-ประชาธิปัตย์ กลายเป็น “ศึกสามเส้า” ระหว่าง พรรคประชาธิปัตย์-พรรคพลังประชารัฐ และ พรรคกล้า ของ “กรณ์ จาติกวณิช”

พลังประชารัฐทำ “ศึกแห่งศักดิ์ศรี” กับประชาธิปัตย์

พรรคพลังประชารัฐ ฉีกทุกกฎ-มารยาททางการเมืองระหว่าง “พรรคร่วมรัฐบาล” เพื่อส่ง “อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ” อดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งเขต 3 นครศรีธรรมราช เมื่อการเลือกตั้งปี’62 ที่เข้าป้ายเป็นอันดับที่ 2 แพ้เทพไทหลักพันคะแนน

เดิมพันรอบนี้ของพรรคพลังประชารัฐ หากสามารถ “คว้าชัย” เก็บเก้าอี้ ส.ส.เมืองคอนได้อีก 1 ที่นั่ง จากเดิม 3 ที่นั่ง เป็น 4 ที่นั่ง จากทั้งหมด 8 ที่นั่ง มิหนำซ้ำยังสามารถตีฐานที่มั่น-ฐานเสียงปักษ์ใต้แห่งพรรคสะตอ ที่มี “บ้านใหญ่เสนพงศ์” ผูกขาดเก้าอี้ ส.ส. 4 สมัย

สนามเลือกตั้งซ่อมรอบนี้ จึงได้เห็นขุนพล-แม่ทัพพลังประชารัฐ ลงพื้นที่เป็น “ผู้ช่วยหาเสียง” อย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะ “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ที่แสดงอิทธิฤทธิ์ทั้งใต้ดิน-บนดิน

ในช่วง 100 เมตรสุดท้าย พรรคพลังประชารัฐยกพลลงใต้-ขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ มีตัว “ชูโรง” อย่าง “ผู้กองธรรมนัส” และ “อาจารย์แหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน-คนถือกระเป๋าเงินของพรรค

ไฮไลต์อยู่ที่การขึ้นเวทีของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค เป็นการปราศรัยใหญ่ครั้งแรกของ พล.อ.ประวิตร สะท้อนให้เห็นว่า “เอาจริง” ไม่เกรงศักดิ์ศรีและบารมีแชมป์เก่า-พรรคคนใต้

ฟากพรรคประชาธิปัตย์ ศึกนี้ใหญ่หลวง-เดิมพันสูง ต้องรักษาเก้าอี้ ไม่ให้ถูกเจาะยาง-ตีทัพหลวงแตก จึงเป็น “ไฟต์บังคับ” ต้องส่ง “พงศ์สินธุ์ เสนพงศ์” น้องชายเทพไท เป็นมวยแทน-ป้องกันแชมป์

“จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รองนายกรัฐมนตรี-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หัวขบวนประชาธิปัตย์ จึงต้องทุ่ม “หมดหน้าตัก” ระดมสรรพกำลัง-มันสมองยกโขยงไปเกือบหมดพรรค อาทิ บัญญัติ บรรทัดฐาน ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองประธานสภาที่ปรึกษาพรรค อดีตผู้บังคับบัญชา “บิ๊กป้อม” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ สมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

รวมถึง “ขุนพลปักษ์ใต้” อย่าง “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” ส.ส.ตรัง นิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.สงขลา-รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ประธานกรรมการสรรหาผู้สมัคร องอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธาน ส.ส.

เป็นเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องวางเรื่อง “ความขัดแย้งภายในพรรค” เพื่อ “สงบศึกใน-รบศึกนอก” ตามสมญานามของพรรคที่ถูกคนภายนอกตั้งขึ้นว่า “ยามศึกเรารบ ยามสงบเรารบกันเอง”

ถัดมาพรรคกรณ์-กล้า แม้ถูกมองว่าเป็น “ไม้ประดับ- ม้านอกสายตา” เนื่องจากเป็น “พรรคน้องใหม่” อายุงาน 8 เดือนกับอีก 9 วัน หลังกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับรองความเป็นพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2563

พรรคกรณ์-กล้า เปิดซิง (ว่าที่) ส.ส.เก้าอี้ตัวแรก โดยส่ง “สราวุฒิ สุวรรณรัตน์” เด็กพื้นที่-ถิ่นเมืองคอนลง “ชกข้ามรุ่น” แต่ถ้านับ “อายุในครรภ์” พรรคกล้าเปรียบได้กับพรรคการเมืองที่ยังไม่ทันลืมตาดูโลก (การเมือง)

ทว่า เปรียบเป็นมวย แม้พรรคกล้าจะอ่อนประสบการณ์-กระดูกไม่แข็ง แต่ถือว่า “สดกว่า-ใหม่กว่า” คู่ชกทั้งพลังประชารัฐ-ประชาธิปัตย์

และยังเป็นตัวแปรในการ “ตัดแต้ม” คู่แข่งทั้ง 2 พรรค ต้องไปลุ้นกันในวันที่ 7 มีนาคม ว่าจะไปกินส่วนแบ่งทางการเมืองพลังประชารัฐหรือประชาธิปัตย์

สุดท้าย ไม่ว่าพรรคกรณ์-กล้า จะปิดประตูชนะ ทว่าเป็นการ “แพ้เสมอตัว” หรือถึงขั้น “แพ้แต่กำไร” เพราะเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพื่อ “สะสมชั่วโมง” เมื่อถึงเลือกตั้งใหม่ในอีกไม่เกินปีครึ่ง