ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ พ้นโทษจำคุก ประกาศร่วมสู้กับคณะราษฎร

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แถลงหลังได้รับอิสระภาพ-ถอดกำไลอีเอ็ม ประกาศเคียงข้างนักศึกษา ประชาชน 

วันที่ 30 มีนาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังออกจากเรือนจำ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2563 โดยมีเงื่อนไขโดยติดกำไลอีเอ็ม ควบคุมความประพฤติ ของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

จนกระทั่งเมื่อวานนี้ (29 มี.ค.) ครบกำหนดวันต้องโทษ ซึ่งได้รับการถอดกำไลอีเอ็ม พร้อมไปรายงานตัวและเข้าอบรมธรรมะอีกครั้ง ก่อนจะถือว่าได้รับอิสรภาพคืนมาอย่างสมบูรณ์

ย้ำจุดยืนเดิม

ล่าสุด นายณัฐวุฒิ แถลงข่าวหลังได้รับอิสรภาพ พร้อมแสดงจุดยืนทางเมือง ระบุว่า ตนขอยืนยันจุดยืนตามเดิมไม่เปลี่ยนแปลง หากเคยประกาศจุดยืนการต่อสู้ทางการเมืองเช่นไร ก็ยังคงเป็นเช่นนั้นจนถึงปัจจุบัน และตราบจนอนาคต

“ผมถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเวลา 10 ปี ยังไม่สามารถลงสนามเป็นผู้สมัครตำแหน่งอื่น ๆ ทางการเมืองได้ แต่ในฐานะประชาชนหรือบุคคลหนึ่งซึ่งยืนอยู่บนเส้นทางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผมขอยืนยันจุดยืนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ถ้านายณัฐวุฒิเคยประกาศจุดยืนการต่อสู้ทางการเมืองอย่างไร ผมก็ยืนยันจุดยืนเช่นนั้น จนถึงปัจจุบัน และตราบจนถึงอนาคต”

“ผมไม่เคยรู้สึกเสียใจที่เลือกเส้นทางสายนี้ แล้วมีคดีความมากมาย ติดคุกแล้ว 3 ครั้ง และก็ไม่แน่ใจว่าจะมีครั้งต่อไปหรือไม่ อย่างไร ความเจ็บปวดที่ผ่านพบ ผมรับได้ ภาระหนักอึ้งที่ต้องแบกรับ ผมไม่หวั่นไหว ภยันตรายใดใดที่ต้องเผชิญ และหากจะต้องเผชิญอีก ผมไม่ท้าทาย แต่ก็ไม่เคยหวาดกลัว”

“ผมเชื่อมั่นว่า จุดยืนทางการเมืองที่ได้ประกาศต่อประชาชนและยืนหยัดสู้มาเป็นแนวทางอย่างแท้จริงที่จะทำให้ บ้านเมืองนี้ เดินไปข้างหน้า ที่จะทำให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ที่จะทำให้ปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ เป็นไปได้อย่างแท้จริงภายใต้หลักการณ์ว่าคนเราเท่าเทียมกัน”

ยังไม่ได้หารือร่วม “จตุพร”

ส่วนวันที่ 4 เมษายน ที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำ นปช. ประกาศรวมตัวเคลื่อนไหวนั้น นายณัฐวุฒิ ระบุว่า ตั้งแต่ตนพ้นโทษจากเรือนจำก็ยังไม่ได้หารือแนวทางทางการเมืองกับ นายจตุพร พรหมพันธุ์

“มีโทรศัพท์ พูดคุยกันบ้าง ตามประสาพี่น้อง ที่กอดคอต่อสู้กันมา ยังไม่ได้พบปะ หรือนั่งพูดคุยกัน ดังนั้นการเคลื่อนไหว หรือการนัดหมาย วันที่ 4 เมษายน นั้น ส่วนตัวผมได้ทราบเรื่องจากทางสื่อมวลชนเท่านั้น ยังไม่ได้รับแจ้ง หรือยังไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารใดใด”

“อย่างไรก็ตาม ทั้งคุณจตุพร และคณะที่มีความเคลื่อนไหว อยู่ขณะนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ มีศักยภาพ ส่วนว่าจะกำหนดแนวทางอย่างไร ก็ขอให้สื่อมวลชนได้ติดตามเอาจากผู้ที่เกี่ยวข้อง”

ประกาศเคียงข้างราษฎร

“ผมขอแสดงตัวเคียงข้างนิสิต นักศึกษา และประชาชนที่กำลังต่อสู้อยู่ พร้อมกันนั้นผมขอปฏิเสธข้อกล่าวหาบิดเบือนให้ร้ายป้ายสีว่าการแสดงท่าทีเช่นนี้หมายถึงการมุ่งร้าย หมายถึงการโค่นล้มทำลายสถาบันฯ” นายณัฐวุฒิกล่าว

สำหรับความเคลื่อนของนักศึกษาและประชาชนในขณะนี้ นายณัฐวุฒิ ระบุว่า ตนเคารพการเคลื่อนไหว และความคิดของบุคคลเหล่านี้ และไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะประเมินว่า การออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน

“ผมคงไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะประเมินว่า ความเคลื่อนไหวของนักศึกษา ประชาชนเวลานี้ จะไปได้ไกลแค่ไหนหรือไม่ เพราะว่า เมื่อพวกเขาออกมายืนบนวิถีของการต่อสู้ เมื่อพวกเขาได้วางชีวิตอิสรภาพของตัวเอง ลงเป็นเดิมพันในการต่อสู้นี้ พวกเขาก็เท่ากันกับผมนี่แหละครับ ถ้าผมเป็นนักต่อสู้คนหนึ่ง พวกเขาก็เป็นนักต่อสู้อีกหลายคน ที่มีเกียรติยศศักดิ์ศรีการต่อสู้ที่เท่าเทียมกัน”

“ผมเคารพในการเคลื่อนไหว เคารพในความคิดเห็นของพวกเขา และผมก็คิดว่า ผมคงไม่แน่พอที่จะมานั่งประเมินในสิ่งที่พวกเขากำลังต่อสู้อยู่ด้วยชีวิต ด้วยอิสรภาพ”

เจอกับแกนนำราษฎรในเรือนจำ

นายณัฐวุฒิ ได้เล่าช่วงเวลาขณะอยู่ในเรือนจำ และได้พบปะกับแกนนำหลายคนที่ถูกคุมขังในช่วงระยะเวลาสั้น ระบุว่า

“ผมได้มีโอกาส ได้พบกับเขาหลายคน ขณะอยู่ในเรือนจำ เพราะผมเข้าไปก่อน แม้ไม่ได้พูดคุยกันมากนัก บางช่วงเวลาก็อยู่นอกเงื่อนไขการกักโรค จึงได้ใช้ชีวิตปกติ เหมือนผู้ต้องขังทั่วไปในแดนสอง แต่น้อง ๆ ช่วงเวลานั้น เข้าไปอยู่ส่วนใหญ่ก็ไม่ถึง 14 วัน ดังนั้นพวกเขาจึงใช้เวลาส่วนมากอยู่ในเรือนนอนตามมาตรการกักโรคของทางเรือนจำ”

“อย่างไรก็ดี ก็มีเวลาที่เจ้าหน้าที่เบิกตัวพวกเขาออกมาเพื่อพบทนายความ เพื่อพบผู้หลักผู้ใหญ่ของรัฐบาล ของกรมราชทัณฑ์ ที่เข้าไปพูดคุย เข้าไปดูแลความเป็นอยู่ แม้แต่ละช่วงเวลาได้พูดคุยก็สั้น ๆ แต่ผมคิดว่าผมห่วงใยพวกเขา”

“ทุกเช้าที่เดินผ่านเรือนนอนที่พวกเขาอาศัยอยู่ ผมต้องชะโงกหน้า ไปเรียกพวกเขาทุกครั้ง เพราะผมเป็นห่วงว่า น้อง ๆ เขาไม่เคยถูกขัง มาอยู่ร่วมกับผู้ต้องขังคนอื่น ๆ แล้วจะเป็นอย่างไร ปลอดภัยหรือไม่ ขนาดไหน ผมได้เห็นพวกเขาคุยกันเอง ผมได้เห็นเวลาเขากิน ผมได้เห็นเวลาเขานอนหลับ ไม่ว่าเขาจะประกาศตัวเป็นนักต่อสู้ เป็นนักปฏิวัติหรือประกาศตัวเป็นผู้กล้าหาญใดใดก็ตาม แต่จากสายตาที่ผมได้เห็น จากประสบการณ์ที่ผมได้สัมผัส จนผมได้มาเป็นพ่อคน สิ่งหนึ่งที่เขาปิดบังผมไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่พวกเขาปฏิเสธผมไม่ได้ คือ พวกเขายังเป็นเด็ก”

พูดคุยกับ “เพนกวิน”

นายณัฐวุฒิ ยังได้เผยบทสนทนากับ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” ในเรือนจำ ตอนหนึ่งว่า

“ผมได้ถามเพนกวินในเรือนจำ พี่ได้ยินว่า น้องใช้คำปราศรัยของพวกพี่ ตะโกนชื่อพวกพี่อยู่หลายเวที น้องรู้จักพี่ได้ยังไง เพนกวินบอกว่า เขารู้จักผมตั้งแต่อายุ 11 ขวบ ตั้งแต่ปี 2553 คำตอบของเขาสั้น ๆ แต่ทำให้ผมคิดยาว เพราะปี 2553 ผมได้ร่วมต่อสู้ครั้งใหญ่ เพนกวินอายุ 11 ขวบ เหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านมา 10 ปี ถึงปี 2563 เพนกวินเป็นแกนนำต่อสู้ มีคดีความติดคุกอยู่เวลานี้”

“สิ่งที่ผมคิดยาว ถ้าเรื่องราวยังยุ่งเหยิง ยังหาข้อยุติไม่ได้อีก 10 ปี ลูกชายผมจะอายุเท่าเพนกวินวันนี้ แล้วก็ไม่แน่ว่า อีก 10 ปี ลูกชายผมต้องมาเจอสภาพแบบนี้ ไม่แน่ว่า คนที่จะต้องวิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดศาล พยายามให้ลูกต้องได้รับอิสรภาพ อาจจะไม่ใช่แม่เพนกวิน แม่ไมค์ แม่รุ้ง แม่ไผ่ แต่อาจจะเป็นผม พ่อของ ด.ช.นปก ใสยเกื้อ วันนี้ก็ได้”

“ผมถึงบอกว่า คนรุ่นเรานี่แหละที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ให้เด็กโตขึ้นมาแล้วรับผิดชอบความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะโต ก่อนที่เขาจะรู้ความด้วยซ้ำไป ถามหัวใจคนเป็นพ่อเป็นแม่ทุกคนว่า เรายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้หรือ เราจะเข้าคิวรอการเป็นพ่อแม่ที่ต้องวิ่งประกันตัวลูก ที่ต้องอกสั่นขวัญแขวน เมื่อเห็นลูกต้องเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ ผมว่าเรายอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้”

“ดังนั้น ไม่มีใครปฏิเสธความเปลี่ยนแปลงได้ เราอยู่ร่วมกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ โดยไม่ต้องทำร้ายกันและกัน กับคนหนุ่มคนสาว เมตตาเถอะครับ อย่าอาฆาต พยายามเถอะครับ อย่าพยาบาท และผมเชื่อว่า บ้านเมืองมันมีทางออก ขอส่งความปรารถนาดีๆ ไปถึงประชาชน คนหนุ่มสาว ไปยังเยาวชนที่ต่อสู้อยู่เวลานี้”

“จริง ๆ โดยวัยนับกันยาก แต่พวกเขาเรียกผมติดปากว่าพี่ แม้ว่าจะรู้จักเป็นการส่วนตัวน้อยคนมาก ที่ยังอยู่ข้างนอกไม่เคยรู้จักแม้แต่คนเดียว ที่อยู่ข้างในก็ไปรู้จักกันข้างในแทบจะทั้งหมด แต่อยากจะบอกว่าพี่เต้นยังอยู่ตรงนี้ พี่เต้นเคียงข้างเสมอ เข้าใจและเห็นใจ และไม่คิดว่าจะทอดทิ้งกัน”