ไทย-บาห์เรนย้ำความสัมพันธ์แน่นแฟ้น พร้อมผลักดันความร่วมมือทุกด้าน

วันนี้ (1 พ.ย. 60) เวลา 11.30 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าเฝ้าเจ้าชายคอลิฟะห์ บิน ซัลมาน อัล คอลิฟะห์ นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรบาห์เรน ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญการหารือดังนี้

นายกรัฐมนตรีรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เข้าเฝ้านายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนอีกครั้งในปีนี้ และขอบพระทัยที่เสด็จเข้าร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรด้วยพระองค์เอง ซึ่งนายกรัฐมนตรีบาห์เรนรับสั่งว่าไม่ว่าอย่างไรต้องมาร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงฯ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงมีบทบาทสำคัญและพระมหากรุณาธิคุณทั้งต่อประชาชนชาวไทยและนานาชาติ

สำหรับความสัมพันธ์ทวิภาคีนั้น ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความสัมพันธ์ไทย-บาห์เรนมีความแน่นแฟ้น ตั้งแต่ที่นายกรัฐมนตรีเยือนบาห์เรนอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ก็มีความคืบหน้าในการดำเนินความร่วมมือด้านต่างๆ ระหว่างกันมาโดยตลอด ทั้งนี้ไทยและบาห์เรนมีกำหนดหารือกันในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูง (High Joint Commission) ระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในช่วงต้นปีหน้า
ด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างกันมากขึ้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าปัจจุบันภาคเอกชนไทยให้ความสนใจในการจัดตั้ง Thai Mart ที่กรุงมานามา เพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้าไทยไม่เพียงเฉพาะในบาห์เรน แต่รวมถึงประเทศอื่นๆในภูมิภาคตะวันออกกลางด้วย ซึ่งขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างประสานงานเพื่อดำเนินการให้เป็นรูปธรรมต่อไป

ความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอาหาร นายกรัฐมนตรียืนยันความพร้อมที่จะให้การสนับสนุนด้านความมั่นคงทางอาหารของบาห์เรน โดยเฉพาะสินค้าเกษตรซึ่งไทยเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก รวมถึงอาหารฮาลาล
ด้านสาธารณสุข ทั้งสองฝ่ายยินดียกระดับความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างกัน โดยนายกรัฐมนตรีบาห์เรนแสดงความชื่นชมศักยภาพด้านการแพทย์ของไทย และกล่าวว่าชาวตะวันออกกลางเป็นจำนวนมากนิยมเดินทางมารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทย

โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีบาห์เรนกล่าวยืนยันที่จะให้การสนับสนุนประเทศไทยในกรอบองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) พร้อมแสดงความชื่นชมอาเซียน ที่มีการรวมกลุ่มหารือเพื่อแก้ไขปัญหาและส่งเสริมความร่วมมือในทุกมิติกันมาโดยตลอด โดยเห็นว่าปัจจุบันแต่ละประเทศจะอยู่เพียงลำพังไม่ได้ แต่จะต้องสานสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน