ปิยบุตร ล่าล้านชื่อแก้รัฐธรรมนูญ ล้างมรดกรัฐประหาร ใน 6 เดือน

“ปิยบุตร” ตั้งเป้าล่าชื่อแก้รัฐธรรมน 6 เดือน หวังได้ล้านชื่อกดดัน ส.ว.  ไม่แตะหมวด 1-2 ไม่ใช่ไม่สนใจ แต่ขอรื้อระบบประยุทธ์ ก่อน

วันที่ 6 เมษายน 2564 เวลา 15.00 น. ที่ มธ.ท่าพระจันทร์ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดกิจกรรม “ขอคนละชื่อระบอบประยุทธ์” ตามรายงานของมติชนออนไลน์ ว่า เหตุผลที่มีการรณรงค์ล่ารายชื่อเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้นั้น เราทำในนามของกลุ่ม Resolution ซึ่งเป็นความร่วมมือกันของ 4 องค์กร คือ 1.คณะก้าวหน้า 2.พรรคก้าวไกล 3. กลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้า และ โครงการอินเตอร์เนต เพื่อกฎหมายประชาชน หรือไอลอว์

โดยการลงชื่อครั้งนี้คือการเข้าชื่อตามสิทธิรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เป็นการใช้สิทธิของประชาชน ที่มีสิทธิเลือกตั้ง 5หมื่น คนขึ้นไป เข้าชื่อเพื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติมเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา โดยการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 60 มี 3 ช่องทางใหญ่ ๆ

คือ 1. การยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 60 ทั้งฉบับ และทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยปราศจากข้อจำกัดใด ๆ ซึ่งในประเทศไทยเคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ด้วยวิถีนอกรัฐธรรมนูญคือการทำรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งและเขียนฉบับใหม่ ซึ่งเราไม่ประสงค์ให้เกิด จึงมีวิธีการที่ 2 คือการทำประชามติ เพื่อเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ แล้วให้ประชาชนร่วมกันร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมาทั้งฉบับ โดยปราศจากข้อจำกัด ซึ่งไม่ใช่เป็นการทำประชามติภายใต้ระบบกฎหมายที่เป็นอยู่ แต่ต้องเป็นประชามติตามอำนาจสถาปนาของประชาชน

นายปิยบุตร กล่าวว่า ช่องทางที่ 2 ที่ได้ทำไปแล้วคือการแก้รัฐธรรมนูญปี 2560 เปิดทางให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร) เพื่อทำใหม่ทั้งฉบับ แต่ปรากฏว่าถูกเบี้ยวลงไปดื้อ ๆ ถูกทำให้ตกไป

ส่วนช่องทางที่ 3 คือการแก้ไขรายมาตรา โดยในรัฐสภาเริ่มมีการพูดกันแล้ว แต่เป็นประเด็นที่เล็กมาก เช่น เรื่องระบบเลือกตั้ง ก็เป็นการแก้เพื่อประโยชน์ของนักการเมือง หรือแก้ไขมาตรา 144 ให้ส.ส.สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมกับการใช้งบประมาณ ที่ไม่ได้เป็นการสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างใด ๆ จึงเป็นที่มาให้กลุ่มของพวกเราจัดกิจกรรมรณรงค์ออกมาใช้สิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ เข้าชื่อเสนอแก้ไขรายมาตรา แล้วเสนอแก้ประเด็นใหญ่ ๆ เป็นการแก้ไขเพื่อรื้อระบอบประยุทธ์ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้วางกลไกหลายอย่าง ที่ค้ำยันระบอบประยุทธ์ไว้ได้

เมื่อถามว่า มีการเสนอจะแก้ไขอำนาจที่มาของ ส.ว.จะเป็นไปได้หรือไม่ นายปิยบุตรกล่าวว่า ที่ผ่านมาเสียงของรัฐสภาไม่แยแสเสียงของประชาชน ตีตกในข้อเสนอ หลายคนเป็นห่วงว่า ล่ารายชื่อไปก็หวั่นจะโดนตีตกอีก

แต่ครั้งนี้จะแตกต่างจากเดิม โดยจะรณรงค์ให้ได้รายชื่อมากขึ้น และรณรงค์ในประเด็นที่พุ่งตรง ที่เป็นใจกลางของปัญหารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือ ส.ว. 250 คน ซึ่งถ้าหากเราได้รายชื่อหลายแสนคนหรือเป็นล้านคน ส.ว.ทั้ง 250 คนจะต้องถูกกดดัน ต้องเปลี่ยนแปลงวิธีคิด และหาก ส.ว. ยังไม่แยแสเสียงเรียกร้องของประชาชน ผลลัพธ์ทางการเมืองจะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน

เมื่อถามว่า ตั้งเป้าการล่ารายชื่อไว้ใช้ระยะเวลาเท่าไร นายปิยบุตรกล่าวว่า วันนี้เป็นวันครบรอบ 4 ปีของการใช้รัฐธรรมนูญปี 60 เฉลี่ยประเทศเรามีรัฐธรรมนูญมา4 ปีครึ่ง ต่อ1 ฉบับ เพราะเรามีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ ดังนั้นจึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องมาทบทวน และประชาชน ก็เห็นอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชมาพอสมควรจึงต้องเริ่มรณรงค์ โดยตั้งเป้าแรก 6 เดือน และดูว่าจะได้จำนวนรายชื่อมากพอหรือไม่ แต่ต้องให้เกิน 5 หมื่น หรืออาจจะถึงหลักแสนหลักล้าน เพื่อให้เป็นนัยยะสำคัญในการส่งเสียง ไปถึงสถาบันการเมืองและ ส.ว.

เมื่อถามว่า หมวด 1 และหมวด 2 นั้นเป็นการลดเพดานเพื่อเพิ่มแนวร่วมใช่หรือไม่ นายปิยบุตรกล่าวว่า ต้นยังยืนยันว่ารัฐธรรมนูญใหม่ต้องทำทั้งฉบับ โดยเฉพาะในหมวด 2 มีหลายส่วนที่ต้องปรับปรุงแก้ไข และรัฐธรรมนูญไทยไม่ได้ห้ามการแก้หมวด 1 และหมวด 2

แต่สำหรับการรณรงค์ในครั้งนี้ เรามุ่งเน้นไปที่กลไกการขัดขวางการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสืบทอดอำนาจ ของ คสช.ไว้ ส่วนประเด็นสำคัญอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็จะรณรงค์ทางความคิดและทางวิชาการต่อไป

“อนาคตหากต้องการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 มีประเด็นใดบ้างที่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย วันนี้เรามุ่งเป้าที่ 4 ประเด็นใหญ่ คือการยกเลิกวุฒิสภา โละศาลรัฐธรรมนูญเรื่องขององค์กรอิสระ การยกเลิกแผนยุทธศาสตร์ และแผนปฏิรูปประเทศ ล้างมรดกคณะรัฐประหาร การไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 ไม่ได้หมายความว่า เราไม่ได้สนใจเรื่องนั้น วันนี้เราแค่รณรงค์ 4 ประเด็นนี้ก่อน ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้สนใจเรื่องหมวด 1 และหมวด 2” นายปิยบุตรกล่าว