ธนาธร : 2 ปีในดงคดีการเมือง ประเมินศัตรูต่ำ ไม่คิดว่าเล่นงานครอบครัว

สัมภาษณ์พิเศษ
ณัฐวุฒิ กรัณยโสภณ

อาจกล่าวได้ว่า “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” กลายเป็นบุคคลการเมืองที่มีบาดแผลทางการเมืองมากที่สุดแห่งยุคสมัย

ทั้งที่เพิ่งลงสนามการเมืองครั้งแรก ตั้ง “พรรคอนาคตใหม่” ลุยการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 แล้วพรรคของเขาถูกยุบ แถมกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมืองคนละ 10 ปี จากปมที่เขาให้พรรคอนาคตใหม่กู้เงิน

ธนาธรเป็น ส.ส.เข้าสภาได้เพียงแค่ไม่กี่นาที ก็ถูกเชิญออกจากที่ประชุม เพราะศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่จากพิษถือหุ้นสื่อ

ลามมาถึงคดีความมั่นคงสารพัดคดี ทั้งมาตรา 112 มาตรา 116 ลามมาถึงคนในครอบครัวแม่-น้องชาย ที่ต้องเผชิญวิบากกรรมตาม “ธนาธร”

“ประชาชาติธุรกิจ” สนทนากับ “ธนาธร” หลังจากได้พักหายใจหายคอกับการลงพื้นที่ลุยศึกเลือกตั้งเทศบาล ซึ่งเป็นเวลาครบ 2 ปี ที่เขาลงสนามการเมือง

“ธนาธร” ยอมรับว่า ในเส้นทางการต่อสู้ทางการเมือง เขาประเมินศัตรูต่ำไป และเขาไม่สบายใจในฐานะ “ลูก” ที่ทำให้แม่ต้องเป็นทุกข์

หลังเจอมรสุมชีวิต มีคดีกว่า 20 คดีรุมกระหน่ำบนเส้นทางการเมืองของ “ธนาธร” ตั้งแต่อนาคตใหม่-ก้าวหน้า เขาบอกความในใจว่า มีหลายจังหวะที่อยากจะกลับไปแก้ไข บางเหตุการณ์ก็ภาคภูมิใจ

“โอ้โห… จริง ๆ จากการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เรามีหลายอย่างที่เราอยากกลับไปปรับแก้ ถ้ากลับไปได้ ไม่ว่าตัวผู้สมัคร ทิศทางการหาเสียง เล็ก ๆ น้อย ๆ เต็มไปหมด แต่เรื่องใหญ่ที่สุดที่อยากปรับ…พูดยากนะ”

ยังคิดว่าเป็นเรื่องรัฐธรรมนูญที่เราคิดว่าล็อบบี้กันไม่พอ ทำงานกันไม่หนักพอจนโดนพันธมิตรระหว่างพลังประชารัฐและ ส.ว.โหวตให้ตกไป จริง ๆ ต้องล็อบบี้หนักกว่านั้น พูดคุยหนักกว่านั้น ภูมิใจไทยเดินออกไปเลย (ในการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3) จริง ๆ ควรจะคุยกับภูมิใจไทยว่าต้องผลักดันไปต่อ

พ.ร.ก.โอนกำลังพลจุดพลิก

แต่ในความคิดคอการเมืองทั่วไปมองว่า หัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของ “อนาคตใหม่” คือประเด็นไม่เห็นชอบ พ.ร.ก. พระราชกำหนดโอนอัตรากำลังพล และงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562 ที่นำมาสู่จุดเปลี่ยน

“ธนาธร” ไม่มองว่าเป็นความผิดพลาด แต่เป็นความภูมิใจของผมที่เราได้แสดงจุดยืนอย่างนั้น แม้ว่าการแสดงจุดยืนอย่างนั้นนำมาซึ่งการยุบพรรคก็ตาม

“ผมคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราต้องกล้าพูดความจริงว่า 1 ประเทศมีสองกองทัพไม่ได้ ไม่มีประเทศไหนทำอย่างนั้น ในประเทศที่สมัยใหม่แล้วจะมีสองกองทัพได้อย่างไร ตอนนี้มีสองสายการบังคับบัญชานะ คุณจะพอใจไหมที่สภาผู้แทนราษฎรในประเทศคุณถ้าไม่มีใครอภิปรายเรื่องนี้เลย ถ้ากฎหมายนี้ผ่านไปโดยไม่มีใครไม่เห็นด้วย แล้วจะเรียกว่าเป็นตัวแทนของประชาชนได้หรือเปล่า”

“สำหรับผมคือการทำหน้าที่อย่างภาคภูมิ แม้มันจะนำมาซึ่งอุปสรรคอะไรเยอะแยะไปหมดก็ตาม ไม่เสียใจเลยที่เราตัดสินใจลงคะแนนแบบนั้นให้กับ พ.ร.ก.โอนอัตรากำลัง ผมมีแต่ความภูมิใจใน ส.ส.ของผม”

ถามว่าสถานการณ์จะดีกว่าไหมถ้าวันนั้นอนาคตใหม่ “งดออกเสียง” อาจไม่ถึงขั้นถูกยุบพรรค “ธนาธร” ตอบกลับว่า “งดออกเสียงก็คืองดออกเสียง ความหมายคือ เอ๊ะ เรื่องนี้ดีหรือไม่ดีนะ แต่ไม่เห็นด้วยก็คือไม่เห็นด้วย”

“สังคมศาสตร์ไม่เหมือนกับวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทดลองได้ ต้มน้ำแล้วเดือด 100 องศาหรือเปล่า แต่สังคมศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ย้อนกลับไปแล้วเปลี่ยนตัวแปรบางตัว เพื่อพิสูจน์ผลลัพธ์ไม่ได้ จะรู้ได้อย่างไรถ้างดออกเสียงแล้วจะไม่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ดังนั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่างดออกเสียงอย่างเดียวจะนำมาสู่อะไร”

ปฏิวัติโครงสร้าง

ธนาธรวิเคราะห์ว่า “ตัวแปร” ที่ทำให้พรรคอนาคตใหม่และตัวเขาประสบอุบัติเหตุทางการเมือง เพราะเขาและเพื่อนปักหมุดแก้ปัญหาบ้านเมืองลึกถึงโครงสร้าง จนไปกระทบผู้มีอำนาจ

“ถ้าไม่จัดการโครงสร้างปัญหาเชิงประเด็นจัดการไม่ได้หรอกประเทศไทยไม่มีใครรู้ปัญหาสิ่งแวดล้อมปัญหาน้ำเหรอปัญหาพวกนี้ที่จัดการไม่ได้ เพราะเราขาดคนเก่งหรือเปล่า…ผมว่าไม่ใช่”

“ที่ทุกประเด็นแก้ไม่ได้เพราะมีโครงสร้างที่ไม่เอื้อให้เกิดเจริญก้าวหน้า โครงสร้างที่ยึดสังคมไทยไว้ในอดีต ไม่ให้ก้าวไปข้างหน้า ต้องปฏิรูปรัฐราชการ ปฏิรูปกองทัพ แก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าไม่แก้ปัญหาเหล่านี้ แล้วเชื่อเหลือเกินว่าเศรษฐกิจไทยดีกว่านี้ได้ หลุดจากกับดักรายได้ปานกลางเป็นประเทศที่ร่ำรวยได้ด้วยโครงสร้างแบบนี้ สำหรับผมคุณ naive (ไร้เดียงสา)”

“เขาถึงกลัวเราไง เพราะคนอื่นไม่กล้าทำ เราพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่ พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพล สำหรับเราหน้าที่ของพรรคอนาคตใหม่ ไม่ได้มาแก้ปัญหาเชิงประเด็น แต่มาทำลายโซ่ตรวนที่ฉุดรั้งสังคมไทย”

“เขากลัวเรา” ใครกลัว “ธนาธร”

“ธนาธร” กล่าวว่า คนที่กลัวเราคือ เครือข่ายอภิสิทธิ์ชนทั้งหมด การรวมตัวของนายทุนผูกขาด กองทัพ ข้าราชการระดับสูง ตุลาการ ผู้พิพากษาระดับสูง รวมถึงอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด นี่คือกลุ่มคนที่ต้องการรักษาอำนาจจารีต อำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง พวกเขาจึงเกลียดกลัวประชาธิปไตย

“ถ้าย้อนหลังไป 3 ปี ก่อนการเลือกตั้ง ผมพูดแต่เรื่องกัญชา สเกตบอร์ด คิดว่าพรรคจะโดนยุบไหม…ไม่โดน เพราะมันไม่สำคัญต่ออำนาจทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง ทางสังคมของเขา”

2 ปีในการเมืองมีแต่เสีย

นับจากออกสตาร์ตการเมืองในนามพรรคอนาคตใหม่ วันนี้เป็นคณะก้าวหน้า ผ่านมา 2 ปี “ธนาธร” ยอมรับว่ามีแต่ต้นทุนที่ต้องจ่าย

“ส่วนตัวไม่ได้อะไรเลย คิดว่าผมอยากเป็นนายกฯเหรอ…ซีเรียส ตั้งพรรคอยากเป็น ส.ส.เหรอ ไม่ใช่… ผมไม่เคยคิดว่าอยากเป็น ส.ส. อยากเป็นนายกฯ แต่พร้อมเป็นนายกฯ ถ้าจำเป็น ถ้าต้องเป็น มาตั้งพรรคเพราะไม่มีพรรคการเมืองที่อยู่บนหน้ากระดาน ณ วันนั้น เป็นตัวแทนความฝันของผมได้ ผมไม่เห็น”

“ปี 2554 กาคะแนนให้คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะแสดงความไม่เห็นด้วยกับเหตุการณ์ปี 2553 แต่พอกาให้คุณยิ่งลักษณ์แล้วไม่เห็นว่ารัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ จะทำอะไรที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เพื่อปลดพันธนาการให้สังคมไทยเจริญก้าวหน้าได้ และท้ายที่สุดก็ถูกรัฐประหาร แนวทางที่บอกว่าถ้าทำอย่างนู้นอย่างนี้แล้ว…ก็โดนรัฐประหารเหมือนกัน”

“ดังนั้นถ้าถามว่ามันมีแต่ต้นทุนไหม…ใช่ ผมก็บอกอาจารย์ปิยบุตร (แสงกนกกุล) ว่า ถ้าผมจะทิ้งทั้งชีวิต อาจารย์ต้องคุยกับผมนะ ทิ้งทั้งชีวิตเหมือนกัน จะครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่ได้ ถ้าจะทำนี่ต้องสร้างความเปลี่ยนแปลง สังคมไทยที่เป็นประชาธิปไตยเจริญก้าวหน้า”

ยอมจ่ายต้นทุน เพื่อเห็นชัยชนะ

“ธนาธร” ยังมองแง่ดีแม้โดนสารพัดคดี ตอนนี้เราก็เห็นชัยชนะคือการปักธงความคิดของคนรุ่นใหม่ ที่เบื้องต้นดูเหมือนขาดทุน แต่ได้กำไรระยะยาว

“แน่นอน…ก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้วตั้งแต่ตั้งพรรคอนาคตใหม่ 2 ปีที่ผ่านมา ย้อนหลังกลับไปถึงวันนั้น คิดว่าสังคมจะเดินมาถึงวันนี้ไหม การตื่นรู้จะนำมาสู่จุดนี้ไหม ไม่มากก็น้อยอนาคตใหม่มีส่วน”

“ถามว่ามีต้นทุนมากเหลือเกิน และผมประเมินต้นทุนต่ำไปด้วย ผมนึกว่าจะเล่นงานแค่ผม แต่เขากลับไปเล่นงานสมาชิกในครอบครัวผมด้วย เพื่อกดดันให้ผมหยุด”

“สิ่งเดียวที่เหนือความคาดหมายคือ ไม่คิดว่าพวกนี้จะสกปรกขนาดเอาครอบครัวผมมาเล่นด้วย เหนือความคาดหมายของผมในวันนั้นที่คิดตั้งพรรค”

ถาม “ธนาธร” ว่า พอครอบครัวเริ่มโดนคดี เคยคิดสักเสี้ยวไหมว่าควรจะหยุดเคลื่อนไหว ?

ผมเป็นคนที่โชคดีมาก ในแง่สมาชิกครอบครัวสนับสนุนแนวคิดการทำงานของผมทุกคน คุณแม่ก็สนับสนุน เป็นความโชคดีในฐานะมนุษย์ ในฐานะคนไทยที่เกิดมาในครอบครัวที่รักความเป็นธรรม ความเสมอภาค ประชาธิปไตย

“แต่แน่นอนในฐานะลูกต้องไม่สบายใจอยู่แล้วที่ทำให้คุณแม่ทุกข์ไปด้วย คดีแต่ละอย่าง…ไร้สาระจริง ๆ เช่น คดีรุกป่า ซื้อมา 20 ปี ตั้งแต่ 2540 เจ้าของก่อนหน้านั้นคือกลุ่มมิตรผล มิตรผลถือมายังไงก็ซื้อมาอย่างนั้น

เอกสารสิทธิทุกฉบับอันไหนเป็น น.ส.3 ก็เป็น น.ส.3 อย่างนั้น อันไหนเป็น น.ส.3 ก. ก็เป็น น.ส.3 ก. จนถึงทุกวันนี้ ถ้ามันออกผิดก็ออกผิดตั้งแต่ยุคมิตรผล ไม่ใช่ยุคผม เพราะแม่ผม พี่สาวผม ไม่เคยไปเปลี่ยนเอกสารสิทธิเลย”

โดนขนาดนี้ทำไมไม่ถอย ไม่ยอมแพ้ “ธนาธร” กล่าวว่า “มันเป็นเรื่องอนาคตนะ สังคมที่อยากเห็นมันคุ้มค่าที่จะเสี่ยง”

แล้วแม่กับพี่น้องเคยขอให้หยุดเล่นการเมืองไหม “ธนาธร” ยอมรับว่า ก็มีบ้าง คุยกันบ้าง แต่อย่างที่บอก ทุกคนสนับสนุนอย่างน้อยที่สุด เรามีความเชื่อ ความศรัทธาเหมือนกัน ในเรื่องสังคมที่ดี สังคมที่เสมอภาค อาจมีอีกอย่างพี่น้องของผมไปร่ำเรียนต่างประเทศกันหมด เขาเข้าใจว่าสิ่งที่ผมพูดคืออะไร

“ผมไม่ได้พูดอะไรที่มันเกินเลยนะ ไม่ได้บอกว่าประเทศไทยต้องเป็นคอมมิวนิสต์ แค่บอกว่าประเทศไทยเป็นเหมือนประเทศอื่นได้ไหม”

“สิ่งที่ผมพูดมันน่ากลัวขนาดนั้นหรือเปล่า พอแปลความหมายออกมาแล้ว เช่น ทหารไม่ต้องมายุ่งกับการเมือง นี่คือเรื่องสากลสุด ๆ พอมาพูดเรื่องนี้กลายเป็นคนน่ากลัวไปเลยในสังคม ผมเนี่ยพูดอย่างนี้กลายเป็นบุคคลอันตราย แล้วผมถูกทำลายชื่อเสียงจนมีแต่คนรุมกระทืบผมวันนี้”

รัฐธรรมนูญคืออาวุธต่อสู้

“ธนาธร” กล่าวว่า การต่อสู้เรื่องรัฐธรรมนูญที่ “คณะก้าวหน้า-ก้าวไกล” ผลักดันเป็นเรื่องระยะสั้น

เราอยากเห็นบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย มีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง แต่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ไม่ลงมายุ่งกับการเมือง คือขาแรก ขาที่สองต้องมีการถ่วงดุลที่เหมาะสมในฝ่ายบริหาร ตุลาการ นิติบัญญัติ โดยตระหนักว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน วันนี้ยังถ่วงดุลไม่ชัดเจน ฝ่ายบริหารมีอำนาจน้อยมาก มีอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเข้ามายุ่งกับการบริหารเยอะแยะไปหมด

ถ้ามีรัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้วจะต้องปฏิรูปกองทัพให้อยู่ใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ปฏิรูปการศึกษา เลิกเสียทีกับการสอนค่านิยมที่ไม่ทันกับยุคสมัย ยกเลิกการผูกขาดทางเศรษฐกิจ ที่สนับสนุนรัฐประหารมาครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อให้สถาบันอยู่ได้กับยุคสมัย แต่จะไม่ทำสิ่งต่าง ๆ ได้เลย ถ้ามือในสภา หรือตีนบนถนนไม่พอ

พันธมิตรม็อบบนถนน

ถามว่า สู้บนสภาหรือตีนบนถนน “ธนาธร” กล่าวว่า แน่นอนถ้าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพบนถนนไม่ใช้ความรุนแรง เราสนับสนุนการออกมาใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนอยู่แล้ว แต่แนวทางหลักเราเลือกแนวทางสภา ใช้คูหาเลือกตั้ง…เราตัดสินใจเลือกแนวทางนี้ไปแล้ว

ปลายทางการต่อสู้ครั้งนี้คืออะไร “ธนาธร” บอกความฝันว่า ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย เสมอภาคเท่าเทียม…พอแล้วยืนยันอีกครั้งมีสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตที่อยากทำมีสถานที่หลายที่ที่อยากไป มีหนังสือหลายเล่มที่อยากอ่านมีสิ่งต่าง ๆ ที่อยากสอนลูก


ไม่ได้อยากเป็นนายกฯ ไม่ได้อยากเป็นรัฐมนตรี หรือ ส.ส.