ประยุทธ์ ระดมวัคซีนฉีด กทม. 5 ล้านคน ใน 2 เดือน สร้างภูมิคุ้มกันหมู่

ฉีดวัคซีน
REUTERS/Soe Zeya Tun

นายกฯ เตรียม 3 ช่องทางกระจายวัคซีน ทั้ง หมอพร้อม วอล์กอิน และฉีดกลุ่มวัยทำงาน เร่งฉีดคน กทม. 5 ล้านคน ให้มีภูมิคุ้มกันหมู่ภายใน 2 เดือน เตือนร้านอาหารต้องจำกัดคนนั่ง – เว้นระยะห่าง ไม่ทำตามเจอโทษ

เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า สิ่งสำคัญที่ตนและรัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง คือการฉีดวัคซีน ที่ ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งทางรัฐบาลมีแผนการกระจายวัคซีนใน 3 ช่องทาง

ช่องทางแรกคือ ผ่านระบบหมอพร้อม ที่มีผู้มาลงทะเบียนแล้วประมาณ 7 ล้านคน สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค และจะเปิดให้กลุ่มผู้อายุต่ำกว่า 60 ปี ลงทะเบียนได้ในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ ข้อดีคือ ผู้ลงทะเบียนสามารถจองคิวฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลที่เลือกในวันเวลาที่เลือกเอง และสามารถเลือกสถานที่และวันเวลาที่ท่านสะดวกได้เอง

“รับรองว่าจะได้ฉีดในวันเวลาดังกล่าวอย่างแน่นอน สามารถเตรียมความพร้อมได้ดี หรืออาจจะเป็นระบบอื่นของแต่ละจังหวัด เช่น ภูเก็ตชนะ ก็ได้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ส่วนช่องทางที่สอง คือวิธีที่เสริมจากช่องทางระบบหมอพร้อม เพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนมากที่สุด เร็วที่สุดคือลงทะเบียนที่จุดบริการฉีดวัคซีน หรือ Onsite Registration ในกรณีที่มีวัคซีน สนับสนุนเพียงพอ ณ จุดบริการนั้น ซึ่งจะมีการพิจารณาจัดเตรียมระบบในช่องทางนี้เพื่อให้เกิด ความพร้อมมากที่สุดในการจัดสรร

เล็งฉีดกลุ่มคนวัยทำงาน

ส่วนในช่องทางที่สาม คือการกระจายวัคซีนเชิงยุทธศาสตร์ นั่นคือการจัดสรรฉีดวัคซีนให้กับ กลุ่มเฉพาะ คือประชาชนกลุ่มเฉพาะเสี่ยง กลุ่มที่มีความจำเป็นพิเศษ หรือมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตของประชาชน เช่น บุคลากรทางการแพทย์ บุคลากรด่านหน้า อสม. ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ

พนักงานด้านการบิน ครู อาจารย์ ผู้ขับขี่รถยนต์ และจักรยานยนต์สาธารณะ พนักงานรถไฟและรถไฟฟ้า พนักงานในโรงแรม คณะผู้แทนการทูตและองค์กรระหว่างประเทศ นักธุรกิจ และนักเรียน นักศึกษาที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ บุคลากรในโรงงาน คนพิการ พนักงานภาคบริการ อาหารและยา และกลุ่มอื่น ๆ

ซึ่งจำเป็นต้องฉีดเพื่อให้การดำเนินชีวิตและเศรษฐกิจไทยสามารถเดินหน้าไปได้โดยไม่สะดุด ซึ่งกลุ่มบุคคลหรือสมาคมใดมีเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วน สามารถที่จะยื่นเรื่องให้กับกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาเพื่อจัดสรรวัคซีนและจัดเตรียมสถานที่ฉีดต่อไป

ฉีดวัคซีนคน กทม. 5 ล้านคนใน 2 เดือน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรามีเป้าหมายว่า จะระดมฉีดวัคซีแบบปูพรม ให้กับประชาชนในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงสูง และเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศให้ได้อย่างน้อย 5 ล้านคน หรือ 70% ของประชากร เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้ภายใน 2 เดือน คือเดือนมิถุนายน และกรกฎาคม ซึ่งนอกจากโรงพยาบาล และจุดฉีดหลักแล้ว ยังมีจุดฉีดวัคซีนเสริมอีกอย่างน้อย 25 จุด กระจายทั่ว กทม. รวมถึงสถานีกลางบางซื่อ เพื่อให้ประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ และแรงงานต่าง ๆ เข้าถึงวัคซีนได้สะดวกและรวดเร็ว

ขออภัยระบบวัคซีนติดขัด

พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับว่า ที่ผ่านมาการวางระบบการฉีดวัคซีนอาจมีปัญหาติดขัดบ้าง หรือเกิดความไม่ชัดเจนบ้าง จากการให้ความสนใจลงทะเบียนเป็นจำนวนมาก และการวางแผนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพตรงเป้าหมาย ของประเทศมากที่สุด ผมได้ติดตามและเร่งรัดให้มีการปรับปรุงโดยรวดเร็ว ต้องขออภัยที่อาจทำให้เกิดความไม่สะดวกบ้าง แต่ขอยืนยันว่าทุกคนในประเทศไทยจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนอย่างแน่นอน

“เรามีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงมากเพียงพอ และจะเริ่มให้บริการพร้อมกันทั่วประเทศในต้นเดือนมิถุนายนนี้อย่างแน่นอน โดยจากที่ผ่านมา เราเร่งฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเสี่ยงไปแล้ว มากกว่า 2,300,000 โดส ได้ผลเป็นอย่างดี และไม่มีใครเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงเลยแม้แต่คนเดียว จึงขอให้ท่านมีความมั่นใจได้”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขอเน้นย้าว่า ในวันนี้การฉีดวัคซีนเป็น “วาระแห่งชาติ” ที่จะต้องเร่งดำเนินการ เพื่อให้ทุกอย่างขับเคลื่อนต่อไปได้ นโยบายของผม คือเราต้องเดินหน้าปูพรมฉีดวัคซีนเข็มแรกให้เร็ว และให้ถึงประชาชนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะทาได้ หลังจากได้รับความความเห็นของประชาชนจานวนมาก

จึงได้ตัดสินใจว่า เราจะไม่รอให้คนวัยใดวัยหนึ่ง กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ได้รับวัคซีนจนครบก่อน จึงค่อยเปิดให้คนกลุ่มอื่น ๆ ได้รับวัคซีน แต่เราจะปรับแผนการเดินหน้าประเทศ ด้วยการเปิดโอกาสให้ทุกคน ที่พร้อมฉีดวัคซีน ไม่ว่าจะเป็นวัยใด เข้าถึงวัคซีนได้ โดยเฉพาะวัยทำงาน เพื่อปกป้องคนทำมาหากิน คนที่เป็นกำลังหลักในการหาเลี้ยงคนในบ้าน ให้ออกจากบ้านไปทำงาน ทำมาหาเลี้ยงชีพ และเดินหน้า ชีวิตกันต่อไปได้

ร้านอาหารต้องเว้นระยะห่าง

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดและมาตรการผ่อนคลาย ที่วันนี้มีผลบังคับใช้แล้ว เช่น การอนุญาตให้พื้นที่สีแดงเข้มนั้นสามารถนั่งทานอาหารได้ร้านได้ โดยจำกัดจำนวนคน เป็นความพยายามในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประกอบธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งมีจำนวนมาก

และกระทบกับวิถีชีวิตประจำวันของผู้คน โดยผ่านการพิจารณาจากคณะที่ปรึกษาอย่างรอบคอบ และต้องมีการบังคับใช้มาตรการป้องกันโรคอย่างเข้มงวด เช่นการจำกัดคนไม่เกิน 1 ใน 4 และเว้นระยะห่าง หากพบว่าร้านใดไม่ดำเนินการตามมาตรการจะสั่งปิดในทันที หรือมีการทบทวนมาตรการ จึงขอให้เจ้าของร้านอาหารทุกร้านในกรุงเทพฯ และปริมณฑลดำเนินการอย่างเข้มงวด และเจ้าหน้าที่คอยดูแล ควบคุมอย่างใกล้ชิดด้วย