เพื่อไทย จับตา พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้าน-เพดานหนี้สาธารณะพุ่ง 65-70%

เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาฯ เพื่อไทย ให้จับตารัฐบาลขยายเพดานหนี้สาธารณะ 65-70% ต่อ GDP หลังออก พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้าน หวั่นกู้แล้วไม่ก่อให้เกิดรายได้ เป็นสัญญาณอันตรายต่อการสร้างหนี้นอกงบประมาณ

เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 ที่พรรคเพื่อไทย นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และผู้อำนวยการศูนย์นโยบายพรรคเพื่อไทย แถลงถึงสถานการณ์หนี้สาธารณะ ภายหลังมีการประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ.2564 (วงเงิน 5 แสนล้านบาท)

ดังนี้ 1. หนี้สาธารณะ (รวมเงินกู้ 5 แสนล้านบาท) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 คาดว่าจะอยู่ที่ 9.2 ล้านล้านบาท GDP อยู่ที่ 16.02 ล้านล้านบาท คิดเป็น 57.4% แต่จำนวนนี้ไม่รวม 1. โควิด-19 ระลอก 3 ที่ยาวเกินคาดเสียหายอีกราวเดือนละ 100,000 ล้านบาท 2. กู้ชดเชยขาดดุลงบ 2565 อีก 700,000 ล้านบาท และ 3. GDP ที่ต่ำกว่าประมาณการ หากรวมทั้ง 3 ข้อนี้ กรณีโควิดยืดกว่าคาด 2-3 เดือน หนี้สาธารณะต่อ GDP จะอยู่ที่ 62-63% ทะลุเพดานทันทีในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า 2. ให้จับตารัฐบาลขยายเพดานหนี้สาธารณะต่อ GDP เป็น 65-70% ในการทบทวนกรอบวินัยการเงินการคลังของคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลัง ที่จะครบกำหนด 3 ปี ภายในเดือนมิถุนายน 2564 นี้ 3. สัดส่วนนี้ขยายเพดานให้กันได้ ในเงื่อนไขที่เหมาะสมและรัฐบาลใช้เงินมีประสิทธิภาพ เศรษฐกิจโตเร็วกว่าหนี้ที่ก่อเพิ่ม

แต่จาก 7 ปีของรัฐบาลปัจจุบัน GDP ขยายตัวเฉลี่ยเพียง 2.88% ต่อปี แต่หนี้สาธารณะขยายตัวเฉลี่ยสูงถึง 7.07% ต่อปี หนี้โตเร็วกว่ารายได้ประเทศถึงกว่า 2 เท่าต่อปีโดยเฉลี่ย สะท้อนการกู้มาใช้จ่ายไม่ก่อให้เกิดรายได้ ทำให้หนี้สาธารณะต่อ GDP พุ่งเกือบ 20% ในรัฐบาลชุดนี้ แนวโน้มเหล่านี้หากปล่อยไปเรื่อย ๆ เป็นสัญญาณอันตรายยิ่ง ต่อการสร้างหนี้นอกระบบงบประมาณ

4. การขาดดุลงบประมาณ ปี 58-59 ขาดดุลเฉลี่ย 3-4 แสนล้านบาท ปี 60-63 ขาดดุลเฉลี่ย 5 แสนล้านบาทต่อปี และจะพุ่งเฉลี่ย 7 แสนล้านบาทต่อปีนับจากนี้ ไม่มีแนวโน้มลดลง งบปี 65 ก็ตั้งขาดดุล 7 แสนล้านบาท สุดเพดานตาม พ.ร.บ.หนี้สาธารณะ แนวโน้มเหล่านี้ส่งสัญญาณอันตราย ต่อภาวะการสร้างหนี้ในระบบงบประมาณที่มากขึ้นทุกปี ๆ

5. ไทยจึงเข้าสู่ภาวะอันตรายในการสร้างหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ทั้งในและนอกระบบงบประมาณ การขยับเพดานหนี้สาธารณะต่อ GDP ให้รัฐบาลนี้จะนำไปสู่อันตรายทางการคลังของประเทศ เพราะเป็นการสร้างหนี้ไปเรื่อย ๆ โดยไม่เห็นอนาคต เสมือนให้ใบขับขี่แก่คนขับรถไม่เป็น

6. การเอาไทยไปเปรียบกับญี่ปุ่น แล้วคิดว่าไทยก่อหนี้แบบนั้นได้ นั้นผิด ญี่ปุ่นต่างจากไทย เพราะธุรกิจกระจายฐานในต่างประเทศสูง ส่งรายได้กลับประเทศสูง (GNP สูง) ก่อหนี้มาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่สูง และมีสัดส่วนคนอยู่ในระบบภาษีสูง ซึ่งตรงข้ามกับไทย เพราะฉะนั้นคนละบริบท เทียบเคียงกันไม่ได้

“7. หากเปรียบเทียบกับรัฐบาลนายทักษิณ จากหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่ 54.05% ในปี 2545 ลดลงสู่ 39.18% ลดลงเกือบ 15% ใน 4-5 ปี เทียบกับรัฐบาลปัจจุบันจาก 42.56% ในปี 58 พุ่งสู่ 57.4% ใน มี.ค. 64 และ 62-63% ในสิ้นปีนี้ พุ่งขึ้นเกือบ 20% ใน 7 ปี สะท้อนประสิทธิภาพในการบริหารประเทศที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง” นายเผ่าภูมิ กล่าว