ประยุทธ์ ประกาศแจกเงินชดเชยแรงงาน-นายจ้าง ล็อกดาวน์ 6 จังหวัด

นายกรัฐมนตรี แอ่นอกรับถูกด่าล็อกดาวน์กลางดึก ประกาศจ่ายเงินชดเชยแคมป์คนงาน ลูกจ้างร้านอาหาร หัวละ 2,000 บาท 1 เดือน

วันที่ 28 มิถุนายน 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เรียกประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการออกข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 25) โดยวาระในการประชุมได้มีการหารือการแก้ปัญหาการประกาศกึ่งล็อกดาวน์ 1 เดือน คำสั่งปิดแคมป์คนงานก่อสร้างในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และการประกาศมาตรการช่วยเหลือใน 6 จังหวัด

 

พล.อ.ประยุทธ์ แถลงภายหลังประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากโควิด-19 (ศบศ.) โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ยืนร่วมแถลงข่าวด้วย

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขอชี้แจงไปถึงประชาชนโดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศคำสั่งฉบับที่ 25 ซึ่งในการประชุมวันนี้ ได้มีการหารือทั้งภาครัฐ กระทรวงที่เกี่ยวข้อง และโรงเรียนแพทย์ เพื่อให้สอดคล้องถึงการดำเนินการ ขอยืนยันว่ารัฐบาล คณะรัฐมนตรี และส่วนราชการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย ทุกภาคส่วนเพื่อนำมาพิจารณา ทุกครั้งไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม รัฐบาลฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน วันนี้ต้องทำความเข้าใจกันว่าสิ่งที่เดือดร้อนกันวันนี้คือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค

ที่ได้รับผลกระทบใน 6 จังหวัดประกอบด้วย กรุงเทพฯ นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสาคร นนทบุรี และปทุมธานี ที่ได้การประกาศออกไป จึงจำเป็นที่จะต้องมีการแก้ไขปัญหาตรงนี้ รวมถึงระยะต่อไปจะมีการดำเนินการเช่นกัน เพื่อให้เกิดความทั่วถึงในหลายกิจกรรม ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่เราเคยทำมาแล้ว และอาจจะมีมาตรการใหม่ ๆ ออกมาอีก อย่างวันนี้เราทำโครงการคนละครึ่ง โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ก็จะออกไปตามกำหนดการเดิม ซึ่งเป็นมาตรการการเยียวยา

“เราเน้นในเรื่องการลดผลกระทบในระยะเวลา 1 เดือน จากการที่ได้มีการประกาศฉบับที่ 25 ใน 6 จังหวัดก่อน โดยรัฐบาลได้เตรียมงบประมาณส่วนของรัฐบาล ซึ่งเป็นเงินจากเงินกู้ และเงินจากกองทุนประกันสังคมรวมแล้วจำนวน 7,500 ล้านบาท ระยะเวลา 1 เดือน ซึ่งจะต้องเร่งดำเนินการให้ได้ใน 6 จังหวัด ใน 3 หมวด”

การช่วยเหลือประกอบด้วย การก่อสร้าง ที่พักแรม บริการด้านอาหาร สถานบันเทิงและนันทนาการ ซึ่งมีผลกระทบจำนวนมากพอสมควร รัฐบาลมีมติจะจ่ายเงินเพิ่มเติมให้กับลูกจ้างในระบบประกันสังคม ตัวเลขประมาณ 2,000 บาทต่อคน และนายจ้างในระบบประกันสังคมตามจำนวนลูกจ้าง 3,000 บาทต่อคนไม่เกิน 200 คน

สรุปว่ารัฐบาลจะดูแลทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบในระยะเวลา 1 เดือนที่ได้ประกาศปิดไปแล้ว และเหตุผลที่เราต้องปิดแคมป์คนงาน เพราะมีแรงงานติดเชื้อโควิดและแพร่ระบาดเป็นจำนวนมาก ที่ส่งผลกระทบกับจุดอื่นด้วย ซึ่งการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบแบ่งเป็นระยะที่ 1 ระยะที่ 2 และระยะที่ 3 ซึ่งก็จะมีพื้นที่จังหวัดอื่นตามมา

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ปัญหาที่มีแรงงานทยอยกลับบ้าน เรื่องนี้ต้องดูข้อมูลในรายละเอียดที่ผ่านมา ผมห่วงใยอยู่แล้ว จะเห็นได้ว่าเช้าวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้สั่งการให้ทหาร ตำรวจ และพลเรือนลงไปปฎิบัติหน้าที่ทันทีเพื่อป้องกันการเคลื่อนย้ายกลับบ้าน เพราะวิตกว่าจะไปแพร่เชื้อในที่อื่น ทหารหลายคนได้รับความเสี่ยงสูง สำหรับวันนี้ผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากกลับบ้าน เพราะกลับไปก็จะต้องถูกพื้นที่ควบคุมให้อยู่ในพื้นที่ที่กำหนดและไม่มีงาน แต่วันนี้อยู่ในคลัสเตอร์ที่เราควบคุมได้ มีการจ่ายชดเชยในส่วนของกระทรวงแรงงานอยู่แล้ว 50 เปอร์เซ็นต์ของค่าแรง อาหารการกินก็มีคนมาสนับสนุนดูแล”

นายกรัฐมนตรีย้ำว่า “สิ่งที่ได้รับผลกระทบและผมเป็นห่วงในวันนี้ก็คือร้านอาหาร โดยเฉพาะร้านอาหารรายย่อยที่ปกติคนค่อนข้างระมัดระวังเรื่องโควิดระบาดอยู่แล้ว ไม่ค่อยออกนอกบ้านจึงได้ขอความร่วมมือไปยังสมาคมก่อสร้างกับผู้ประกอบการร้านอาหารต่าง ๆ เพื่อประกอบอาหารและจัดส่งไปยังสถานประกอบการและแคมป์คนงานต่าง ๆ เพื่อที่จะได้มีรายได้เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เรื่องนี้ทางกรุงเทพฯรับเรื่องไปแล้ว แน่นอนว่าย่อมมีคนไม่สบายใจหรือยังไม่พอใจ แต่ก็ต้องเข้าใจว่ารัฐบาลจำเป็นที่จะต้องบริหารงานให้เป็นระบบไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหา พันกันยุ่งเหยิงในอนาคต รัฐบาลต้องดำเนินการให้รอบคอบรัดกุม”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบร่วมกัน โดยจะนำข้อสรุปทั้งหมดนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ในวันที่ 29 มิ.ย.นี้ นอกจากดูแลลูกจ้างแล้ว จะต้องดูแลนายจ้างด้วย ส่วนนายจ้างที่รายได้ขาดหายไป ก็จะมีการไปชดเชยตรงอื่นตามจำนวนลูกจ้างที่มีอยู่ ซึ่งมีรายละเอียดอีกมากพอสมควร โดยรัฐจะพิจารณารายหัวให้กับลูกจ้าง ซึ่งผู้ประกอบการจะได้ไปด้วย แต่ต้องไม่เกิน 200 คน ก็ต้องยอมรับว่าใช้เงินมหาศาล ซึ่งในที่ประชุมคิดอย่างละเอียดรอบคอบกว่า 3 ชั่วโมง เราต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจบ้าง

ผู้สื่อข่าวถามว่า ผู้ที่จะได้รับการเยียวยาเข้าข่ายลักษณะใด นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กรณีหยุดงานจากเหตุสุดวิสัยจะได้รับเงินเยียวยา 50% แต่ต้องอยู่ในพื้นที่ โดยที่รัฐบาลจะเข้าไปสมทบเพิ่มให้อีก ส่วนโครงการคนละครึ่งที่มีข่าวว่าจะเลื่อนนั้น ยืนยันว่ายังไม่เลื่อน ยังเป็นไปตามกำหนด รวมถึงโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ไม่ได้มีเลื่อนอะไรทั้งสิ้น

เมื่อถามว่า ผู้ประกอบการที่ถูกคำสั่งไม่ให้นั่งกินในร้านจากคำสั่งล่าสุด เขารู้สึกหนักเกินไป จะผ่อนปรนให้นั่งกิน 25% ได้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “เดี๋ยวดู ต้องขอเวลาดูก่อน แต่รัฐบาลก็สมทบเงินเยียวยาให้อยู่แล้วในช่วง 1 เดือนนี้ได้หมด เราถึงบอกว่าขอดู 1 เดือน และในระยะเวลา 1 เดือน เราก็จะดูในช่วงเวลา 15 วันด้วย โดยจะต้องประมาณการว่าหากดีขึ้นจะทำอย่างไร อย่างวันนี้สถานประกอบการที่มีคนก่อสร้างเขาก็เดือดร้อน ซึ่งต้องพิจารณาเป็นกรณีไป

“กรณีไหนที่สามารถหยุดได้ชั่วคราวก็ขอให้หยุดไปก่อน แต่กรณีไหนที่ต้องทำงานต่อทางด้านเทคนิค เช่น การทำอุโมงค์หรือก่อสร้างที่ได้ขึ้นชั้นไปแล้ว ซึ่งต้องมีเวลาการเซตตัวอะไรประมาณนี้ ก็ต้องขออนุมัติขึ้นมา ศบค.กำลังพิจารณาอยู่ ก็รู้ถึงความเดือดร้อน และก็เดือดร้อนไปทั้งหมด พวกเราก็เดือดร้อนไปไม่น้อยกว่า เพราะต้องคิดว่าทำอย่างไรจะให้คนสามารถดำรงชีวิตได้ในช่วงนี้ และอยากฝากว่าหลายประเทศเขาเดือดร้อนยิ่งกว่าเรา”

เมื่อถามว่า มีการประเมินหรือไม่ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันที่สูงขึ้นจะเบาลงได้ในช่วงเวลาไหน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตัวเลขที่ขึ้นต้องยอมรับในหลักการ ถ้าเราไม่ค้นหาเชิงรุกตัวเลขก็ไม่ขึ้น คำแนะนำของหมอให้ค้นหาเชิงรุก ซึ่งก็ต้องเจอ และหลายคนติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ คนบางส่วนแข็งแรงแต่เชื้อไปแพร่คนอื่น ฉะนั้นเมื่อมีการตรวจค้นเชิงรุกเราต้องยอมรับตัวเลขที่เพิ่มขึ้น แต่เมื่อเพิ่มขึ้นมาแล้วก็ต้องดูในส่วนของผู้ที่รักษาหายรายวันว่ามีจำนวนเท่าไหร่

สมมุติว่าอย่างวันนี้ตัวเลขสูง 5,000 ราย แต่ตัวเลขที่รักษาหาย 3,000 กว่าราย ก็ต้องไปบริหารจัดการว่าทำอย่างไร และพื้นที่ไหนที่มีการแพร่ระบาดก็ต้องมีการพิจารณาเรื่องวัคซีน เราได้ปรับตัวเลขอย่างนี้มาตลอดเวลา ไม่ได้ทำงานรายวัน แต่เราคิดกันเป็นระบบ และต้องรู้ว่าการทำงานประกอบด้วยหลายส่วนงาน หากคิดคนเดียวความคิดเห็นท่านอาจจะถูก แต่บางครั้งมันทำไม่ได้ ถูกต้องหรือไม่ ตรงนี้ต้องเห็นใจ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า “รัฐบาลนี้ผมขอยืนยันดูแลเต็มที่ และรับฟังความเห็นของทุกคน ชอบไม่ชอบผมก็ฟังและนำมาดูทั้งหมด ซึ่งต้องดูว่าอันไหนที่ทำได้ผมก็รับมา แต่ถ้าไม่เป็นประโยชน์ผมก็ไม่อยากจะดู ถ้าในเชิงสร้างความเกลียดชังความขัดแย้งมาก ๆ มันไม่เกิดประโยชน์ เวลานี้บ้านเมืองมันต้องเป็นอย่างนี้ ผมไม่รังเกียจใครเลย เพราะผมถือว่าทุกคนเป็นคนไทย หลายๆ อย่างผมก็เสียใจอยู่เหมือนกัน ที่หลายๆ คนก็ใช้วาจากิริยาไม่สุภาพ มันควรหรือไม่ประเทศไทยในวันนี้ ผมก็ไม่อยากจะพูดหรอก และผมก็อดทนอยู่แล้ว”

พล.อ.ประยุทธ์ย้ำเรื่องการเปิดภูเก็ตแซนด์บอกซ์ว่า  “ไม่มีปัญหาอะไร ยืนยันวันที่ 1 ก.ค.เปิดรับนักท่องเที่ยว และนายกฯจะลงไปในพื้นที่วันที่ 1 ก.ค.ตามกำหนดการเดิม เรื่องนี้ทุกคนต้องช่วยกัน ต่อให้นายกฯประกาศอะไรไป ถ้าทุกคนไม่ร่วมมือมันก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าทุกคนไอ้นั้นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ ไอ้นี่จะเอา ไอ้นี่ไม่เอา แล้วมันจะทำอะไรได้ มันต้องหามาตรการที่เหมาะสมแล้วเดินหน้าไปให้ได้”

“วันนี้ผมต้องเชื่อฟังทางคุณหมอ ระบบสาธารณสุข เขายืนยันว่าถ้าเราฉีดวัคซีนในพื้นที่ภูเก็ต และคนที่เข้ามาได้รับวัคซีน 2 เข็ม และอยู่ในพื้นที่ที่เป็นเกาะเราก็คอนโทรลได้ เมื่อทำเกาะนั้นได้ก็ทำเกาะอื่นต่อไป จากนั้นก็มาดูพื้นที่ที่เป็นแผ่นดินใหญ่ มันต้องทยอยอย่างนั้น ถ้าทำพรึ่บเลยทีเดียวก็เกิดปัญหา ที่ผ่านมาเห็นว่าทุกคนเดือดร้อน ขอผ่อนคลายผมก็ผ่อนคลายให้ เมื่อผ่อนคลายแล้วเกิดปัญหาก็ต้องมาร่วมมือแล้วแก้ปัญหาใช่หรือไม่ วันนี้จะเห็นได้ว่าตำรวจทหารไปตรวจทุกที่ จับกุมได้ทุกวัน เพราะยังมีคนที่ไม่ค่อยร่วมมืออยู่ นี่แหละสำคัญ ซึ่งจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน”

เมื่อถามว่า เรื่องเตียงสนามที่ยังเป็นปัญหาไม่เพียงพอต่อผู้ป่วย ผู้ป่วยต้องรอเตียงหลายวัน นายกฯกล่าวว่า เรื่องนี้กำลังดำเนินการอยู่ ต้องคลี่คลายตรงนี้ไปตรงโน้น ตรงโน้นไปตรงนี้ วันนี้เร่งเพิ่มสีแดง และวันนี้ก็เห็นมีข่าวหนีไปต่างจังหวัด เขากักไว้อย่างนั้น เป็นการย้ายคนไปที่โน่นที่นี่ แต่ท้ายที่สุดก็ต้องเตรียมการ เพราะเรารู้อยู่แล้ววว่ามาตรฐานด้านสาธารณสุขเรารับคนได้เท่าไหร่ในสถานการณ์ปกติ นี่เมื่อมีสถานการณ์โควิดก็หลักพัน ยอดสะสมมีอีกเท่าไหร่ และกลับบ้านไปอีกแล้วเท่าไหร่ ซึ่งตอนนี้เหลือประมาณ 40,000 ราย ที่อยู่ในระบบรักษา ซึ่งรัฐบาลก็รองรับตรงนี้อยู่ และสั่งการให้เตรียมรับสีแดงให้มากขึ้น

ปัญหาสำคัญนอกจากมีสถานที่และเครื่องมือแล้วจะต้องมีบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งทางคุณหมอบอกว่าจะนำหมอที่จบใหม่หรือหมอที่กำลังจะจบเข้ามาช่วย สิ่งสำคัญอยู่ที่แพทย์ พยาบาล ที่ต้องมีความรู้ในเรื่องการดูแล ทั้งสีแดง เหลือง เขียว ที่ต้องคิดซ้ำซ้อนหลายอัน อาจจะถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง แต่ขอให้รู้ว่าเราฟังความคิดเห็นทุกคน เมื่อฟังประชาชนมาแล้วก็ต้องนำมาปรึกษาพวกเราตรงนี้ ทำอย่างไรให้ดีที่สุด

นายกรัฐมนตรีกล่าวในเรื่องการชุมนุมทางการเมืองว่า ขอให้เห็นใจซึ่งกันและกัน มันจะไปได้หมด แต่ถ้าไม่เห็นใจซึ่งกันและกันมันจะไปไม่ได้ และจะทำให้ความขัดแย้งสูงขึ้น การเมืองก็ขอไว้เถอะอย่าเพิ่งเลย

เมื่อถามว่า นายกฯหวั่นไหวหรือไม่กับการวิพากษ์วิจารณ์ และการชุมนุมขับไล่ในขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวพร้อมเอามือตบไปที่หน้าอกว่า “ผมจะหวั่นไหวอะไร ผมยืนอยู่ตรงนี้ ผมไม่เคยหวั่นไหวอะไรทั้งสิ้น ผมเคยบอกแล้วว่าผมจะทำของผมให้ดีที่สุด ตราบใดที่ผมยังทำได้ก็แค่นั้น ผมรักประชาชน รักอย่างเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์ ผมไม่ต้องการอะไรจากเขา มีอะไรให้ผมดูแลให้เขาได้มากที่สุด ผมก็จะร่วมมือกับทุกท่าน ทุกคนช่วยกันหมด ณ ตอนนี้ วันนี้รัฐบาลช่วยกัน รัฐบาลเป็นหนึ่งเดียว เรื่องอื่น เรื่องสภา อะไรก็ว่ากันไป รัฐบาลเป็นหนึ่งเดียวในการดูแลประชาชนตรงนี้ ซึ่งต้องมาดูผลงานที่ ครม.เขาทำมา เข้าใจหรือไม่”