“ปานเทพ-วิชา” หนุนกำหนดกรอบทำคดี แนะดูจำนำข้าวเป็นตัวอย่าง 1 ปีเสร็จ

กก.ปฏิรูป ป.ป.ช.เผยคนไทยอยากร่วมปราบโกง ปานเทพ-วิชา หนุนกำหนดกรอบทำคดี แนะดูจำนำข้าวเป็นตัวอย่าง 1 ปีเสร็จ

เมื่อวันที่ 09.00 น. วันที่ 21 พฤศจิกายน ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่มีนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ เป็นประธาน ได้จัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อจัดทำแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ภาคกลาง) ซึ่งเป็นการรับฟังความคิดเห็นครั้งสุดท้าย โดยการสัมมนาครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมประกอบไปด้วย นักการเมืองระดับชาติ นักการเมืองระดับท้องถิ่น ตัวแทนภาครัฐ ภาคธุรกิจ นักวิชาการ ตัวแทนสถาบันการศึกษา และภาคประชาชน รวมกว่า 300 คน

โดยนายปานเทพกล่าวเปิดการสัมมนาว่า การจัดสัมมนาเพื่อรับฟังความเห็นของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ จัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นมาแล้วทั้งพื้นที่ภาคเหนือ จัดที่ จ.เชียงใหม่, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดที่ จ.ขอนแก่น, ภาคใต้ จัดที่ จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.สงขลา ที่รวมเอา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เข้ามาด้วย โดยการรับฟังความเห็นนี้เป็นไปตามข้อกำหนดของการทำแผนปฏิรูปที่ให้ความสำคัญกับการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน เครือข่ายต่างๆ อย่างกว้างขวาง เพื่อรวบรวมความคิดเห็นมาใช้ทำแผนปฏิรูปประเทศที่สมบูรณ์ โดยเราจะร่างแผนปฏิรูปประเทศให้เสร็จภายในวันที่ 24 ธันวาคมนี้ จากนั้นจะนำเสนอต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์แห่งชาติ และเสนอ ครม.พิจารณาต่อไป อย่างไรก็ตาม ผลของการสัมมนาภาคต่างๆ ที่ผ่านมาดูแล้วคล้ายๆ กัน โดยส่วนใหญ่มีความเห็นว่าจะต้องมีการรับฟังความคิดเห็นประชาชนและต้องเปิดช่องทางให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาการทุจริต รวมทั้งสร้างเครือข่ายประชาชนต่อต้านการทุจริต และเรื่องการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนได้รับทราบเกี่ยวกับเรื่องการทุจริต การไต่สวนคดีทุจริต การจัดซื้อจัดจ้าง การแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน นอกจากนั้นยังมีเรื่องการบูรณาการหน่วยงานตรวจสอบ ทั้ง ป.ป.ช., ปปง. และ สตง. เพื่อให้มีการประสานข้อมูลการทุจริต รวมทั้งเรื่องการลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยให้มีการวางหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะยกร่างแผนปฏิรูปได้เป็นรูปเป็นร่างภายในปลายเดือนพฤศจิกายนนี้

นายปานเทพในฐานะอดีตประธาน ป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์กรณีร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ…. ที่มีการกำหนดระยะเวลาในการพิจารณาคดีของ ป.ป.ช. ว่าถือเป็นเรื่องดี เพื่อให้คดีเดินหน้าโดยไม่คั่งค้าง แต่ต้องดูรายละเอียด เพราะแต่ละคดีมีข้อมูลแตกต่างกัน มีพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องต่างกัน ฉะนั้น หากคดีใดที่ทำไม่เสร็จภายในกรอบเวลา ก็ควรขยายเวลาการทำงานได้ แต่ไม่ใช่ว่าจะปลายเปิดแบบไม่มีกำหนดเวลา

ด้านนายวิชา มหาคุณ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ …. และอดีตกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า การกำหนดกรอบเวลาการทำงานที่ให้ ป.ป.ช.ทำคดีให้เสร็จภายใน 1 ปี หากไม่เสร็จก็สามารถขยายเวลาออกไปได้ไม่เกิน 2 ปี แต่หากเป็นคดีต่างประเทศ ก็สามารถขยายเวลาได้ตามลักษณะคดี ซึ่งถือเป็นการกำหนดกรอบที่อยู่ในวิสัยที่สามารถทำงานได้ เพราะในสมัยที่ตนเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ยังใช้เวลาเพียง 1 ปี ในการทำคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งถือเป็นคดีใหญ่ที่มีหลักฐานและพยานจำนวนมาก ซึ่งก็อยากให้ดูคดีดังกล่าวเป็นตัวอย่าง อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายใหม่นี้ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของ ป.ป.ช. ให้เอื้อในการทำคดีได้เร็วขึ้น โดยเปลี่ยนจากการใช้คณะอนุกรรมการในการไต่สวน ซึ่งต้องใช้เวลานานในการจะนัดประชุมครั้งหนึ่ง บางครั้งใช้เวลาเป็นเดือน แต่การเปลี่ยนมาเป็นให้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.สามารถทำหน้าที่เป็นพนักงานไต่สวนเองได้ จะทำให้การทำงานมีความรวดเร็วและคล่องตัวมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนคดีขนาดเล็กที่มีอยู่ใน ป.ป.ช.กว่า 60 เปอร์เซ็นต์

“เมื่อเขาให้อำนาจแล้ว เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ก็ต้องกล้า เพราะตามร่างกฎหมายใหม่เท่ากับเป็นการยกระดับเจ้าหน้าที่เป็นพนักงานไต่สวนเทียบเท่าอัยการ ซึ่งมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้จะสามารถทำงานได้ เพราะจะต้องเป็นเนติบัณฑิตมาก่อน อีกทั้งจะต้องทำให้ประชาชนพร้อมเข้ามามีส่วนร่วมให้ข้อมูล ขณะเดียวกันเห็นว่า ป.ป.ช.จะต้องปรับบทบาทการทำงานเป็นเชิงรุกไม่ใช่รอเรื่องร้องเรียนอย่างเดียว แต่จะต้องทำงานเชิงป้องปรามด้วย หรือการไต่สวนเชิงป้องปรามการทุจริต เช่น เข้าไปสุ่มตรวจการประมูลงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นได้ระมัดระวังไม่ให้เกิดการทุจริตเกิดขึ้น หรือการสะกิดเตือนหน่วยงานที่ส่อเกิดการทุจริต ซึ่งเป็นการป้องกันอีกรูปแบบหนึ่ง” นายวิชากล่าว

 

 

ที่มา : มติชนออนไลน์