อภิปรายไม่ไว้วางใจ : เพื่อไทย แฉส่วนต่างซื้อวัคซีน ซิโนแวค 1.6 พันล้าน

ประเสริฐ จันทรรวงทอง อภิปรายไม่ไว้วางใจ ประยุทธ์ – อนุทิน ชี้ “ซิโนแวค” เป็นวัคซีนเส้นใหญ่ มีสายสัมพันธ์เจ้าสัว แถมมีส่วนต่างจัดซื้อ จี้ นายกฯ ตอบ

วันที่ 31 สิงหาคม 2564 ที่รัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ที่มี นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่เป็นประธาน

โดยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจถึงใการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค และแอสตร้าเซเนก้า ของรัฐบาลไทยภายใต้การบริหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข 

โดยตั้งข้อสังเกตในการจัดหาวัคซีนซิโนแวคของทางการไทย ดังนี้ 

• รัฐบาลไทย ซื้อวัคซีนซิโนแวค จาก บริษัท ซิโน ไบโอ ฟาร์มาซูติคอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนในจีน ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ฮ่องกง และเป็นที่ทราบกันดีว่า บริษัทนี้มีสายสัมพันธ์เป็นพี่น้องใกล้ชิดกับเจ้าสัวใหญ่ในเมืองไทย ซึ่งเป็นกลุ่มทุนที่มีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 

• จัดซื้อวัคซีน ซิโนแวค ทั้งๆ ที่ ยังไม่มีรายงานการวิเคราะห์คุณภาพวัคซีน ไม่ยึดหลักจริยธรรมและหลักฐานทางวิชาการตามที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเสนอต่อที่ประชุม ศบค. ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 และ พล.อ.ประยุทธ์ เสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติเห็นชอบในแผนการกระจายวัคซีน ตามที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเสนอ

• ทำไมไม่พิจารณาวัคซีน ซิโนฟาร์ม ที่มีประสิทธิภาพป้องกันการป่วยสูงถึง 79 – 86 % มากกว่า ซิโนแวค ที่มีประสิทธิภาพป้องกันการป่วยเพียง 51 % และการซื้อ ซิโนฟาร์ม ซึ่งเป็นวัคซีนที่ผลิตโดยรัฐวิสาหกิจจีน จะเป็นการซื้อแบบ G To G อย่างแท้จริง จะได้รับสิทธิพิเศษด้านภาษีและด้านศุลกากร อีกทั้งราคาของ ซิโนฟาร์ม ที่แต่ละประเทศจัดซื้อ ยังมีราคาไม่สูงเมื่อเทียบกับการที่พลเอกประยุทธ์ฯ ซื้อ ซิโนแวค ในราคา 17 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ

• พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน กระทำการโดยเร่งรีบ รวบรัด ถือเป็นข้อพิรุธและระแวงสงสัยอย่างยิ่ง ทั้ง ๆ ที่ อย.ไทย และ WHO ยังไม่รับรอง มีข้อสังเกตุว่าระยะเวลาในการเจรจา และยกร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบ ใช้เวลาเพียง 27 วัน สัญญาจัดซื้อวัคซีน ซิโนแวค  ระหว่างองค์การเภสัชกรรมและ บริษัท Sinovac Biotech เสร็จสิ้น ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 

พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน เดินทางไปรับวัคซีนที่สนามบินสุวรรณภูมิ หลังจากที่ อย.รับรองแค่ 2 วันเท่านั้น เกิดประเด็นว่า ทำไมเลือกปฏิบัติต่อวัคซีนแต่ละชนิดแตกต่างกัน จึงทำให้วัคซีนยี่ห้ออื่นล่าช้า ทำให้ประชาชนขาดทางเลือก แต่วัคซีน ซิโนแวค กลับมีการนำเข้าอย่างรวดเร็ว  

• ประเทศไทยมีการจัดซื้อวัคซีน Sinovac แล้ว 18.5 ล้านโดส โดยทำการซื้อขายในลักษณะครั้งต่อครั้ง คือเมื่อผลิตวัคซีนได้เท่าไร ก็จะแจ้งให้องค์การเภสัชกรรมทราบ และจัดซื้อเป็นครั้งคราว โดยมิได้ลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง บริษัท ชิโนแวคได้ลดราคาวัคซีนลงมาอย่างต่อเนื่องในแต่ละครั้งที่มีการสั่งซื้อ โดยราคาเริ่มต้นในครั้งที่ 1 อยู่ที่ราคาโดสละ 17 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ  

“การซื้อครั้งที่ 2 ครม.ซื้อในราคา 17 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ โดยอนุมัติที่ 17 เหรียญ แต่บริษัทขายให้เราแค่ 15 เหรียญ ส่วนต่าง 2 เหรียญ ต่อโดส ครั้งที่ 3 ครม.อนุมัติซื้อ 17 เหรียญ ซื้อจริง 14 เหรียญ การจัดซื้อครั้งที่ 4 ครม.ยืนซื้อที่ 17 เหรียญ แต่บริษัทเขายให้ 9.5 เหรียญ การจัดซื้อครั้งที่ 5 ครม.ยังซื้อที่ 17 เหรียญ แต่บริษัทขายให้ 9 เหรียญ”

“ทำให้พบความจริงว่าราคาจัดซื้อวัคซีน ซิโนแวค จำนวน 10.9 ล้านโดส นับแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2564 ถึง 31 สิงหาคม 2564  จึงมีส่วนต่างราคาที่ ครม. อนุมัติ กับราคาที่องค์การเภสัชกรรมซื้อจริงจาก บริษัทซิโนแวค ยอดรวมอยู่ที่ 49 ล้านเหรียญสหรัฐโดยประมาณ หากคิดเป็นเงินไทย ตกเป็นเงิน 1,603,280,000 บาท ถามว่าเงินจำนวนนี้อยู่ในกระเป๋าใคร”

“และหากมีการจัดซื้อต่ออีกตามมติ ศบค. เมื่อ 16 สิงหาคม 2564 จำนวน 12 ล้านโดส ราคาโดสละ 17 เหรียญสหรัฐ ทั้ง ๆ ที่ราคาวัคซีนที่บริษัทขายให้จริงราคา 9 เหรียญสหรัฐต่อโดส จะมีผลต่างต่อโดส 8 เหรียญสหรัฐ วัคซีนจำนวน 12 ล้านโดส คิดเป็นเงิน 96 ล้านเหรียญ คิดเป็นเงินไทย 3,133,440,000 บาท”

“เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเป็นคนตอบว่ามีส่วนต่างจริงหรือไม่ เหตุใดท่านไม่ป้องกันการทุจริต โดยอนุมัติงบประมาณการจัดซื้อตามที่จัดซื้อจริงในแต่ละครั้ง และต้องนำเอกสารหลักฐานมาแสดงต่อที่ประชุมแห่งนี้ด้วย หากวันนี้ชี้แจงไม่ได้ มีคำเดียวที่กระผมจะกราบเรียนท่านประธาน คือ ตั้งใจโกง” 

“การจัดซื้อครั้งนี้ ไม่ชอบมาพากล มีผลประโยชน์แอบแฝง มีการเอื้อประโยชน์ต่อนายทุน เอาประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง ไม่คำนึงถึงชีวิตของพี่น้องประชาชน เป็นการจัดหาวัคซีนที่มีพฤติกรรมปิดบังอำพราง เป็นวัคซีนเส้นใหญ่ วัคซีนสายสัมพันธ์ แต่ด้อยประสิทธิภาพสูงสุด” นายประเสริฐ กล่าว 

ทำสัญญาซื้อแอสตร้าเซนเนก้า เสียเปรียบ

ส่วนข้อสังเกตการจัดซื้อวัคซีน แอสตร้าเซนเนก้า นายประเสริฐ ระบุว่า 

• ไม่บริหารความเสี่ยง – แทงม้าตัวเดียว การกำหนดให้วัคซีน แอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนหลักตัวเดียว ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง  

• สัญญาการจองวัคซีน และการซื้อวัคซีน เสียเปรียบบริษัท AstraZeneca UK คือ การดำเนินการจัดซื้อวัคซีนเป็นการจองล่วงหน้า และ ต้องจ่ายเงินล่วงหน้าร้อยละ 60 ของมูลค่าวัคซีนทั้งหมดโดยสถาบันวัคซีนทำสัญญา 

ส่วนการทำสัญญาซื้อ กรมควบคุมโรคเป็นหน่วยงานทำสัญญา ภายใต้เงื่อนไขว่าการมีโอกาสที่จะได้รับวัคซีน หรือไม่ได้รับวัคซีน ดังกล่าว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผลการวิจัยพัฒนาหรือเหตุอื่นๆ ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวเสียเปรียบอย่างยิ่ง ถ้าบริษัท ดังกล่าวไม่สามารถพัฒนาวัคซีนได้ เงินที่ลงทุนไปก่อนหน้านี้ รัฐบาลไทยย่อมไม่ได้คืน

“ทำข้อสัญญาเสียเปรียบที่ไม่มีสภาพบังคับตามกฎหมายต่อ บริษัท AstraZeneca UK และ AstraZeneca Thailand ให้ส่งมอบวัคซีนตามกำหนด เป็นผลให้พลเอกประยุทธ์ฯและนายอนุทินฯไม่อาจดำเนินการตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2564 ได้ เกิดความล่าช้า ทำให้ไม่สามารถลดการติดเชื้อและการตายของประชาชนได้ และไม่สามารถดำเนินการเอาผิดกับบริษัทผู้ผลิตได้” 

“วัคซีน AstraZeneca ทุกๆ 3 ล้านโดส ประเทศไทยจะได้รับการจัดสรรจำนวน 1 ล้านโดส และส่วนที่เหลืออีก 2 ล้านโดส จะถูกจัดสรรไปให้ประชาชนในประเทศอื่นๆ” 

ดังนั้น จึงกล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ และ นายอนุทิน ดังนี้ 1.พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน จงใจปฏิบัติ ละเว้นการปฏิบัติ ผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ ไม่สามารถดำเนินการตามเป้าหมายและแผนงานการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน ไม่ซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ เปิดเผย ขาดความรอบคอบและขาดความระมัดระวัง 

นับแต่ต้นปี 2563 จนถึงวันที่ 7 มิถุนายน 2564 ที่พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน ประกาศฉีดวัคซีนปูพรมทั่วประเทศ ผิดพลาด ล้มเหลว ไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 2 มีนาคม 2564 เพื่อให้คนไทยทุกคนได้รับการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึง และมีประสิทธิภาพสูงสุด 

ข้อเท็จจริงปรากฏว่าการฉีดวัคซีน มิได้เป็นไปตามเป้าหมายและแผนงานที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ เป็นพฤติกรรม “กลืนน้ำลายตัวเอง” 

2. พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน ร่วมกันจัดหาและจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค ส่อไปในทางทุจริต ไม่โปร่งใส เอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง แสวงหาประโยชน์จากการจัดซีนวัคซีน บนความตายของประชาชน ทั้งยังกีดกันวัคซีนอื่นที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า เพื่อมิให้คนไทยได้มีโอกาสฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง 

อีกทั้งพล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน มีพฤติกรรม “ค้าความตาย” หาผลประโยชน์บนความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน โดยให้นโยบายวัคซีนเป็นสินค้าสาธารณะ ผูกขาดตัดตอนให้วัคซีนหลักมีเพียงยี่ห้อแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อเอื้อประโยชน์ให้เอกชนเพียงรายเดียว และขาดความรอบคอบ ระมัดระวังโดยทำสัญญา ภายใต้เงื่อนไขที่เสียเปรียบ กับบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ทำให้ประเทศขาดแคลนวัคซีน ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าการระบาดของโรคมีการกลายพันธุ์และระบาดไปโดยรวดเร็ว

ข้อเรียกร้องของประชาชน ที่ขอให้พลเอกประยุทธ์ฯ ลาออก เพราะเห็นว่า ท่านไม่สามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตินี้ได้ ถ้าอยู่ต่อ เกรงว่าประเทศจะเสียหายมากกว่านี้

“ข้อเรียกร้องของภาคเอกชน ที่ไม่ทน ขอให้รัฐบาลเปิดโอกาสให้เอกชนได้จัดซื้อวัคซีนโดยตรง เพราะไม่สามารถคอยความหวังจากรัฐบาลได้ แม้กระทั่งจดหมายจากเพื่อนนิเทศจุฬาฯ รุ่น 40 ส่งถึงลูกสาวนายก ที่เขียนบอกให้คุณพ่อลาออกนั้น เป็นสัญญานที่ประชาชนแสดงออกมา ว่า “เขาไม่ต้องการท่านแล้ว”

การบริหารราชการแผ่นดินเกิดความล้มเหลว ทั้งภาวะปกติและภาวะวิกฤต โดยเฉพาะในยามที่บ้านเมืองประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน 19 เดือนเศษ การรวมศูนย์อำนาจ รวบอำนาจ ท่านดำรงตำแหน่งต่างๆ มากมาย 

อีกทั้งยังได้รวบอำนาจตามกฎหมายต่างๆ อีก 40 ฉบับ แต่ด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของท่าน และด้วยความที่ทีมทำงานของท่านขาดความรู้ความสามารถ กระผมจึงไม่แปลกใจเลย “ที่เห็นประเทศไทยเดินทางมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร” 

“ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน ได้ร่วมกันยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ เพื่อชี้ให้เห็นถึงเหตุผลว่า พล.อ.ประยุทธ์ ควรแสดงความรับผิดชอบด้วยลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะประชาชนไม่ศรัทธาท่านแล้ว และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ควรรับผิดชอบด้วยการการลาออกเช่นกัน คงไม่ต้องคอยให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เดินมาบอกท่านว่า พวกผมไม่เอาท่านแล้ว  ทำไมท่านไม่ฟังเสียงพี่น้องประชาชนบ้าง ว่าเขาต้องการอะไร ถ้าท่านได้ยิน คงตัดสินใจง่ายขึ้น และรีบลาออกโดยเร็ว” นายประเสริฐ กล่าว 

นายประเสริฐ กล่าวว่า จึงไม่ไว้วางใจให้ พล.อ.ประยุทธ์ บริหารประเทศต่อไปได้ และอยากเรียกร้องให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกท่านว่า “วันนี้ประชาชน ไม่เอาพลเอกประยุทธ์ฯ แล้ว ท่านยังจะเอาอยู่อีกหรือ”