“สมชัย” วิเคราะห์ ทักษิณแลนด์สไลด์ พท. เฉือน พปชร. สูตรเลือกตั้งใหม่

นักการเมืองในสภาผู้แทนราษฎร ณ วันนี้ ส่วนใหญ่ฟันธงว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ตัดสินใจยุบสภา ไม่ช้า-ก็เร็ว เช็กอาการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ลงพื้นที่ถี่ยิบ ไม่ต่างกับช่วงใกล้เลือกตั้งปี 2562

อีกทั้งกติกาเลือกตั้ง แบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ตามสูตรรัฐธรรมนูญ 40-50 ที่ 2 พรรคใหญ่ พรรคเพื่อไทย และพรรคพลังประชารัฐ ให้การสนับสนุน ติดตั้งในร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ผ่านวาระ 3 รอเวลาครบกำหนดที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องทูลเกล้าฯภายใน 15 วัน ในวันที่ 26 กันยายนนี้

ทว่า กติกาบัตร 2 ใบ เคยทำให้พรรคการเมืองของทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ไทยรักไทย (เว้นพรรคพลังประชาชน ใช้กติกาเลือกตั้งพวงใหญ่ เรียงเบอร์) เพื่อไทยชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลาย สวนทางกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อาจแพ้พ่าย

“สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง ปัจจุบันเป็น ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการเมืองและการเลือกตั้ง ม.รังสิต เขาคำนวณผลกระทบ ระบบเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ ไว้ล่วงหน้า และความกังวลเรื่อง ทักษิณ ชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ ไว้ดังนี้

กลุ่มพรรคใหญ่ ได้ประโยชน์จากการแก้กติกาดังกล่าวเต็ม ๆ โดย “สมชัย” คำนวณจากผลการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 และลดจำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เหลือ 100 คน ตามกติกาที่เพิ่งแก้ไขไป พรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เพิ่มขึ้น 22 คน จากเดิมที่เป็น 0 ส่วนพรรคพลังประชารัฐ เพิ่มขึ้น 5 ที่นั่ง จาก 19 เป็น 24 คน โดยพรรคเพื่อไทยได้ประโยชน์มากที่สุด

กลุ่มพรรคกลางได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เช่น พรรคอนาคตใหม่ ปาร์ตี้ลิสต์จะลดลงจาก 50 คน เหลือ 18 คน พรรคประชาธิปัตย์ จาก 20 คน เหลือ 11 คน ภูมิใจไทยใกล้เคียงของเดิม ลดลงเล็กน้อย

กลุ่มพรรคเล็กจะสูญพันธุ์ โดยมี 12 พรรคในกลุ่มปัดเศษจะไม่ได้ ส.ส.เลย เพราะตัวเลขที่คำนวณ ส.ส.ต่อ 1 คน จะต้องได้ ส.ส. 3.5 แสนคะแนน

“สมชัย” อ่านบริบทการเมืองไทย เพื่อไทย-ทักษิณ จะแลนด์สไลด์ได้หรือไม่ว่า เมื่อกติกาเปิดออกมาชัดเจนว่าเอื้อต่อพรรคใหญ่ แนวโน้มของการที่คนไหลไปสู่พรรคใหญ่ ทรัพยากรต่าง ๆ นายทุนไปสนับสนุนพรรคใหญ่จะมีมากขึ้น ดังนั้น เพื่อไทย ภายใต้กติกาแบบนี้นำไปสู่ความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ในการเลือกตั้งอนาคตอย่างชัดเจน ไม่ว่ากำลังคนที่จะไหลไปมากขึ้น ขณะที่ทรัพยากรการสนับสนุนจากนายทุนมีโอกาสมากขึ้น

ฝั่งของพรรคพลังประชารัฐ ไม่มีปัญหาความแตกแยกภายใน น่าจะมีความใกล้เคียงกับพรรคเพื่อไทย ใครพร้อมไปทางไหนก็ไปทางนั้น แข่งขันกันภายใต้ระบบ 2 พรรคใหญ่

“แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันเราเห็นภาพความขัดแย้งภายใน เนื่องจากการเดินหมากที่ผิดพลาดของ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งทางการเมือง กรณีปลด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ออกจากตำแหน่ง รมช.เกษตรฯ”

“ถ้าเป็นนักการเมือง แล้วเห็นว่ายังมีความจำเป็นที่ต้องใช้ประโยชน์เขา ยังไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น แม้ ร.อ.ธรรมนัส ยังอยู่ แต่ใจเขาไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ แต่ท้ายที่สุดหากมีแรงผลักดันอย่างรุนแรง ที่จะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ เชื่อว่าวันนั้น ร.อ.ธรรมนัสจะไม่อยู่ ดังนั้น พรรคพลังประชารัฐจึงไม่นิ่ง พร้อมแตกแยกเป็นกลุ่มใหม่ได้ตลอดเวลา พลังประชารัฐจึงไม่สามารถเข้มแข็งได้เหมือนเดิม”

แม้ พล.อ.ประยุทธ์อาจกำพรรคการเมืองใหม่อยู่ในมือ แต่ “สมชัย” มองว่า ช้า… ไม่ทันการณ์ พรรคใหม่ที่ถูกสร้างโดย พล.อ.ประยุทธ์ หรือกลุ่มการเมืองอื่น ๆ ก็ไม่สามารถสร้างพรรคขึ้นมา เพื่อทำให้เกิดกระแสการยอมรับและได้เปรียบจากกติกานี้ได้ทัน

ถ้าเป็นพรรคใหม่ต้องการทอดเวลาให้ยาวนานก่อนการยุบสภา หากยุบสภาภายใน 3 เดือน 6 เดือน ก็ตาย เพราะไม่สามารถสร้างกระแสนิยมให้เป็นที่ยอมรับได้อย่างทันท่วงที

“ดังนั้น กลยุทธ์ฝ่ายรัฐบาลจะต้องทำให้พรรคพลังประชารัฐกลายเป็นพรรคใหญ่ที่เข้มแข็งให้ได้ เป็นทางออกทางเดียว ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้จากกติกาที่คุณสร้างเอง”

ถามว่า ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ รู้ว่าลงเลือกตั้งในกติกาบัตร 2 ใบ แล้วจะแพ้พรรคเพื่อไทย เหตุใดถึงยังให้ ส.ว.สายทหาร ยกมือสนับสนุนให้ผ่านวาระที่ 3

กลุ่มที่เห็นชอบในวาระ 3 เป็นพวกนายทหาร พล.อ.ทั้งหลายโหวตกัน เข้าใจว่า ณ วันนั้น ไม่มีการส่งสัญญาณใหม่ เคยมีสัญญาณเก่าให้เห็นชอบ แต่พอสถานการณ์เปลี่ยนไปในทางที่เป็นปัญหา ไม่มีใครที่จะไวพอประเมินสถานการณ์ และส่งสัญญาณใหม่ หรืออาจอยู่ในภาวะสับสน ที่ไม่แน่ใจว่าอะไรดีกับอะไร ไม่ได้ลงคะแนนจากการคิดไตร่ตรอง แต่มาจากสัญญาณที่ส่ง ก็จะโหวตเหมือน ๆ กัน

ที่สุดแล้วจะมีทางแก้ให้ พล.อ.ประยุทธ์ กลับไปใช้กติกา MMP บัตรจัดสรรปันส่วนผสม แบบบัตร 2 ใบ เพื่อไม่ให้พรรคเพื่อไทยโตเกินไป ได้หรือไม่

สมชัยเห็นว่า “ในขั้นของการเขียนกฎหมายลูก ยังมีทางแยกที่เป็นไปได้ คือ MMM แบบปี 2550 จะทำให้พรรคเพื่อไทยได้กำไรมหาศาล หรือจะใช้ MMP แบบจัดสรรปันส่วนผสมภายใต้บัตร 2 ใบ โดยอาศัยเจตนารมณ์ของการร่างรัฐธรรมนูญ 2560 มาครอบไว้ เพื่อให้คะแนนทุกคะแนนมีความหมาย ไม่ตกน้ำ สะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างแท้จริง ว่าประชาชนสนับสนุนพรรคใด ซึ่งทำได้”

กับอีกทางคือ ยุบสภา ภายใน 3 เดือน ก่อนที่รัฐธรรมนูญใหม่ที่แก้ไขไปจะประกาศใช้

……………

พรรคกลาง-เล็ก แท็กทีม ค้านกติกาเลือกตั้งบัตรสองใบ

พรรคเพื่อไทย-พรรคพลังประชารัฐ ต่างจับมือกัน เข็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เปลี่ยนกติกาจากบัตรเลือกตั้งใบเดียว แบบรัฐธรรมนูญ 2560 มาเป็นระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ตามรัฐธรรมนูญ 2540-2550

ทั้งที่วงในพรรคพลังประชารัฐก็รู้ทั้งรู้ว่า เปลี่ยนระบบเลือกตั้งย้อนกลับไปในยุครุ่งเรืองของทักษิณ ชินวัตร จะทำให้ “เข้าทาง” เพื่อไทย

แต่เพื่อไทย-พลังประชารัฐ-ประชาธิปัตย์ เตรียมกฎหมายลูกไว้ในมือ เตรียมเนื้อหากฎหมายลูก โดยนำสูตรการ “คำนวณ” ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม 2554 โดยวิธีคำนวณให้ดูผลคะแนนเลือกตั้งรวมของ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ทั้งประเทศ จากนั้นหารด้วย 100 มาปัดฝุ่น ปรับให้เข้ากติกาใหม่

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า “เพื่อไทยกำลังคุยกันอยู่ แนวทางยกร่างกฎหมายลูกจะคล้าย ๆ กับกฎหมายเลือกตั้งปี 2554 แทบจะเหมือนกันทุกตัวอักษร เพียงแต่ตัดเรื่องการได้มาซึ่ง ส.ว.ทิ้งไป ยกกฎหมายเลือกตั้งปี 2554 มาแล้วปรับให้สอดรับกับรัฐธรรมนูญ 2560 ที่เราแก้ไขเท่านั้นเอง”

แต่อีกฝ่าย ก้าวไกล-ภูมิใจไทย-ชาติไทยพัฒนา-เสรีรวมไทย ประเมินสถานการณ์ว่า ระบบเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ เป็นอันตรายต่อเส้นทางการเมืองของพรรคขนาดกลาง พรรคเล็ก

นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวว่า “ยินดีสู้ทุกกติกา ไม่ว่ากติกาเป็นแบบปี 2540 2550 หรือแบบ MMP จัดสรรปันส่วนผสมแบบบัตร 2 ใบ ที่พรรคก้าวไกลเสนอ และพร้อมที่จะสู้ในกฎหมายลูก”

ขณะนี้ความคิดแบ่งเป็น 2 ส่วน ในหมู่พรรคการเมือง 1.การตีความเรื่องรัฐธรรมนูญมาตรา 93-94 ที่ไม่ได้แก้ไขนั้น ยังมีเชื้อของ ส.ส.พึงมีอยู่ ดังนั้นจะต้องเอาคะแนนจำนวน ส.ส. 500 คน มาคำนวณ ส.ส.พึงมี แล้วเอา ส.ส.เขตที่ได้มาหักลบ แล้วจึงจะเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ได้รับ ตามระบบ MMP

2.ฝ่ายพรรคเพื่อไทย+พลังประชารัฐ กรณีอย่างนี้ไม่เกี่ยวกับ ส.ส.พึงมี ส.ส.เขตได้เท่าไหร่ ส.ส.บัญชีรายชื่อได้เท่าไหร่ก็เอาไปเลย แบบกติกา 40 และ 50

“กรณีอย่างนี้อยู่ในชั้นกรรมาธิการที่จะต่อสู้กัน ส่วนก้าวไกลเสนอแบบ MMP ต้องให้คำนวณแบบ ส.ส.พึงมีก่อน แล้วค่อยเอา ส.ส.เขตมาหัก เพราะเราต้องการให้ภาพการเมืองสะท้อนถึงความนิยม เพราะจะทำให้พรรคการเมืองมุ่งเน้นทำนโยบายมาแข่งกันมากกว่า เราไม่ต้องการให้ย้อนหลังไป 24 ปี แต่เราต้องการให้ก้าวหน้ากว่านั้นไปอีกก้าวหนึ่ง”

ยังมี ชาติไทยพัฒนา กับภูมิใจไทย-เสรีรวมไทย และพรรคเล็กที่คัดค้าน

นายนิกร จำนง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า “การออกแบบให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ถือว่าพรรคการเมืองใหญ่ได้เปรียบ ดังนั้น การออกแบบกฎหมายลูก ผมเห็นว่าพรรคขนาดกลาง รวมถึงพรรคขนาดเล็ก ควรมีโอกาสสร้างกติกาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกพรรคเท่าเทียมกัน รวมถึงพรรคฝ่ายค้านด้วย เพื่อไม่ให้เกิดการเสียเปรียบมากเกินไป”

แม้ว่า 2 พรรคใหญ่ เพื่อไทย-พลังประชารัฐ จะชูสุดเขต หนุนสูตรเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ แต่โอกาสพลิกยังมีในชั้นกรรมาธิการ