สนช.รับหลักการร่างกม.วินัยการเงินการคลัง-กม.วิธีการงบประมาณ

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน เวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ…. ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ โดยนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวชี้แจงหลักการและเหตุผลว่า รัฐธรรมนูญบัญญัติให้รัฐรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ฐานะทางการเงินการคลังของรัฐมีเสถียรภาพและมั่นคงยั่งยืนตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับกรอบการดำเนินการทางการคลังและงบประมาณรัฐ การกำหนดวินัยทางการคลังด้านรายได้และรายจ่ายทั้งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ การบริหารทรัพย์สินของรัฐและเงินคงคลัง และการบริหารหนี้สาธารณะ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้

จากนั้นเปิดให้สมาชิกแสดงความคิดเห็น โดย นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ สมาชิก สนช.อภิปรายว่า กฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลัง ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2550 ไม่เคยมีรัฐบาลไหนนำร่างกฎหมายที่รัฐธรรมนูญเขียนให้มีกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ซึ่งถือมีความสำคัญอย่างยิ่ง และมีความจำเป็นในเรื่องของกรอบดำเนินการทางวินัยการเงินการคลัง ซึ่งรวมไปถึงหนี้สาธารณะ ทั้งนี้ในเรื่องของการกู้เงิน ที่ไม่ผ่านงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งตามมาตรา 53 จะต้องออกเป็นกฎหมาย คือ การกู้เงินของรัฐบาล นอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะให้กระทรวงการคลังทำได้ โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย และเฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นที่ต้องดำเนินการเร่งด่วนต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศ โดยไม่อาจตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ทัน ส่วนการกู้เงินเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ตามกฎหมายบริหารหนี้สาธารณะ กรณีใช้จ่ายนอกเหนือจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี และต้องใช้เป็นเงินตราต่างประเทศ และเมื่อดู พ.ร.บ.หนี้สาธารณะ มาตรา 22 การกู้เงินให้กระทำดังกล่าวได้เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินนอกเหนืองบประมาณรายจ่ายประจำปี และต้องใช้เป็นเงินตราต่างประเทศ หรือกู้เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินของประเทศ โดยให้กู้ไม่เกิน 10% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ส่วนมาตรา 23 ถ้าตลาดการเงินในประเทศเอื้ออำนวยเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการเงินการคลังและตลาดทุน กระทรวงการคลังอาจกู้เป็นเงินบาทแทนการกู้เงินตราต่างประเทศก็ได้

“ตรงนี้เราเคยมีประสบการณ์เจ็บปวด เพราะมีรัฐบาลหนึ่งอ้างเรื่องนี้ และออกเป็นกฎหมายกู้เงินต่างประเทศ อ้างเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ที่สำคัญการกู้เงินลักษณะนั้นใช้กระดาษเพียง 10 แผ่น แล้วออกเป็นกฎหมาย โดยไม่ผ่านการตรวจตราของสำนักงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ก็สามารถใช้เงินได้ จึงอยากถามว่ามีกรอบอะไรในการป้องกันเหตุที่จะเกิดขึ้นมาอีก เพราะรัฐธรรมนูญอย่างเดียวไม่พอ อาจต้องมีกรอบควบคุมเอาไว้ หากรัฐบาลเสียงข้างมากบริหารประเทศในอนาคต แล้วใช้พวกมากลากไป ออกกฎหมายลักษณะประชานิยม ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีที่สูงมาก โดยไม่ผ่านการควบคุมก็จะเกิดปัญหาได้” นพ.เจตน์กล่าว

นพ.เจตน์กล่าวต่อว่า ส่วนคำนิยามรัฐวิสาหกิจ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2502 หมายถึง 1.องค์การของรัฐหรือบริษัทที่รัฐถือหุ้นเกิน 50% 2.บริษัทลูกที่องค์การของรัฐหรือบริษัทชั้นที่ 1 ถือหุ้นเกิน 50% 3.บริษัทหลาน หรือบริษัทในชั้นที่ 2 และหรือชั้นที่ 1 ถือหุ้นรวมกันเกิน 50% 4.บริษัทเหลน หรือบริษัทในชั้นที่ 3 และหรือชั้นที่ 2 และหรือชั้นที่ 1 ถือหุ้นรวมกันเกิน 50% แต่เมื่อมีการเสนอร่างกฎหมายนี้ก็ต้องมีการแก้ไขนิยามใหม่ ทำให้ชั้นที่ 3 และชั้นที่ 4 หายไป สอดคล้องกับร่าง พ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ…. ที่ตัดชั้นที่ 3 และ 4 ออกไปด้วยสาเหตุใด นอกจากนี้การกำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นเพื่อให้หน่วยงานรัฐนำไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ หรือเพื่อการหนึ่งการใดเป็นการเฉพาะจะกระทำไม่ได้ ยกเว้นกรณีการจัดเก็บภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมไปถึงการจัดเก็บภาษีบาปเพื่อไปใช้จ่ายกรณีใดกรณีหนึ่ง จะทำไม่ได้อีกต่อไปใช่หรือไม่

จากนั้น ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวในวาระ 1 ด้วยคะแนน 186 งดออกเสียง 3 พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการจำนวน 26 คน และกำหนดพิจารณาให้แล้วเสร็จใน 57 วัน

ต่อมาที่ประชุมได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ…. ตามที่ ครม.เป็นผู้เสนอ ซึ่งที่ประชุมได้ลงมติรับหลักการวาระ 1 ด้วยคะแนน 182 งดออกเสียง 3 โดยให้คณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐเป็นผู้พิจารณาอีกฉบับหนึ่ง โดยมีระยะเวลาการทำงาน 120 วัน ทั้งนี้ นายวิสุทธิ์ รมช.การคลัง ชี้แจงสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวว่า การจัดทำงบประมาณต้องคำนึงถึงฐานะทางการคลังของประเทศ ความจำเป็นในการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจภายในและภายนอกประเทศ ความเป็นธรรมทางสังคม นโยบายรัฐบาล และภารกิจของหน่วยรับงบประมาณ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและการคุ้มค่า เกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริการจัดการภาครัฐ ทั้งนี้ สำนักงบประมาณจะเป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อดำเนินการในการกำหนดนโยบายประจำปี ประมาณการรายได้ วงเงินงบประมาณรายจ่าย รวมถึงกำหนดสัดส่วนงบประมาณรายจ่าย และกรอบงบประมาณการรายจ่ายงบประมาณรายรับ และฐานะทางการคลังของรัฐบาลเป็นการล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3 ปี

 

ที่มา : มติชนออนไลน์