สุรพล วิรุฬห์รักษ์ : พระเกี้ยว เป็นสัญลักษณ์ “เสมอภาค-เสรีภาพ”

CHULALONGKO RN UNIVERSITY
FILE PHOTO : CHULALONGKORN UNIVERSITY

“สุรพล วิรุฬห์รักษ์” นายกราชบัณฑิตยสภา ยก 6 ประการ ชี้ “พระเกี้ยว” เป็นสัญลักษณ์แทนรัชกาลที่ ๕ ไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งอำนาจเก่า การกดขี่ และความไม่เท่าเทียม แต่เป็นสัญลักษณ์ของความเสมอภาคและเสรีภาพของคนไทย

วันที่ 25 ตุลาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่เฟซบุ๊ก หน่วยวิจัยแผนที่และเอกสารประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม ของหน่วยวิจัยแผนที่และเอกสารประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์บทความที่เขียนโดย ศ.ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์ นายกราชบัณฑิตยสภา ระบุว่า “พระเกี้ยว” จึงไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งอำนาจเก่า การกดขี่ และความไม่เท่าเทียม แต่พระเกี้ยวเป็นสัญลักษณ์ของความเสมอภาคและเสรีภาพของคนไทย

“ผมสดับตรับฟังเรื่องนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่งยกเลิกขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวอันเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาธรรมศาสตร์ปี 2564 นี้ โดยอ้างว่ามันเป็นการสำแดงรูปแบบของอำนาจเก่า ต้องเกณฑ์คนมาแบกหาม แสดงถึงความไม่เท่าเทียมกันของมนุษย์ ผมจึงใคร่ขอให้เราท่านพิจารณาเรื่องนี้ให้สุขุมรอบคอบ”

ประการที่ 1 พระเกี้ยวเป็นสัญลักษณ์แทนพระองค์สมเด็จพระปิยมหาราชรัชกาลที่ 5 ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้เป็นตราของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ให้พวกเราชาวจุฬาฯอันเป็นประชาชนคนธรรมดาได้มีโอกาสเล่าเรียนเสมอหน้ากันสนองพระราชปณิธานของพระราชบิดา ซึ่งแต่เดิมจำกัดเฉพาะลูกขุนนาง

ประการที่ 2 รัชกาลที่ 5 ทรงยกเลิกระบบไพร่คือประชาชนที่ต้องสังกัดมูลนายสักเลขไว้ที่ข้อมือ จะเรียกใช้แรงงานบ้าน งานสงคราม งานสาธารณะใด ๆ ก็ได้ตามใจนายจนตาย จะย้ายนายไม่ได้ เมื่อนายตายก็ตกเป็นไพร่หลวง พวกไพร่ไม่มีสิทธิเสรีภาพใดๆ การยกเลิกระบบไพร่ให้เป็นไทแก่ตัว ก็เท่ากับทรงขัดผลประโยชน์เจ้านายขุนนางทั้งแผ่นดิน แต่เพื่อความเสมอภาคของราษฎร พระองค์ก็ทรงเสี่ยงกับเสถียรภาพของราชบัลลังก์

ประการที่ 3 รัชกาลที่ 5 ทรงเลิกทาส ในช่วงเวลาเดียวกับการเลิกไพร่ โดยไม่มีผู้ใดเดินขบวนเรียกร้อง แต่พระองค์ทรงเห็นว่าระบบทาสเป็นความป่าเถื่อน กดขี่ข่มเหงเสมือนมนุษย์เป็นสัตว์เดียรฉาน เมื่อต้องขายตัวขายลูกเมียมาเป็นทาส แม้ลูกที่เกิดในขณะเป็นทาสก็เป็นสมบัติของนายคือทาสในเรือนเบี้ยไม่มีปัญญาหาเงินมาไถ่ถอน นายจะเฆี่ยนจะฆ่าจะทำอนาจารก็หาความเป็นธรรมมิได้ พระองค์จึงทรงเลิกระบบทาสที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยานานหลายศตวรรษโดยไม่มีสงครามกลางเมืองอย่างในหลายประเทศ
ทาสและไพร่จึงได้เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์เท่าเทียมกันทั้งแผ่นดิน

ประการที่ 4 พระองค์ทรงยกเลิกระบบการบริหารราชการแผ่นดินจากระบบจตุสดมถ์(สี่แท่ง)คือเวียงวังคลังนาที่มีมาแต่ครั้งก่อนพระบรมไตรโลกนาถในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น แล้วทรงสถาปนาระบบราชการเป็นกระทรวงทบวงกรม อันเป็นการกระจายพระราชอำนาจ และเปิดโอกาสให้ไพร่ทาสราษฏรทั้งปวงได้รับราชการ มีรายได้ มีเกียรติยศ อีกทั้งทรงออก พรบ.เกณฑ์ทหาร๒ปีแล้วปลดออกไปทำงานอาชีพมีรายได้ของตน
เขาเหล่านี้สามารถสะสมทรัพย์ให้ร่ำรวยมีความมั่นคงในอนาคตได้เสมอหน้ากัน

ประการที่ 4 รัชกาลที่ 5 ทรงเอาชีวิตเกียรติยศและพระราชทรัพย์ของพระราชวงศ์เป็นเดิมพัน ทรงตัดพระทัยยอมสละดินแดน ครึ่งหนึ่งของประเทศเพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตยของปวงชนชาวไทยเอาไว้เพื่อมิให้อังกฤษและฝรั่งเศสฉีกประเทศไทยออกเป็นสองเสี่ยงตามแนวแม่น้ำเจ้าพระยา

ทรงสั่งลาบ้านเมืองเสด็จรอนแรมทางทะเลที่แสนไกลและอันตรายไปเจรจาหามิตรภาพกับนานาประเทศไกลถึงรัสเซีย นอร์เวย์ ที่หนาวเหน็บนานถึงแปดเดือนเพื่อเอามิตรไมตรีมาช่วยค้ำจุนบ้านเมืองที่กำลังล่อแหลมต่อการตกเป็นเมืองขึ้น เอกราชมีราคาแพงกว่าลมปราณของพระองค์ที่ทรงวางเป็นเดิมพันเพื่อศักดิ์ศรีแห่งเสรีภาพและเอกราชของคนไทย

ประการที่ 6 พระราชกรณียกิจที่กล่าวมาอาจมองว่าเป็นหน้าที่ของพระราชาที่ต้องทำ แต่ยังมีอีกภาพหนึ่งที่อาจเรียกว่าพระนิสัยที่รักความเท่าเทียมกันของมนุษย์ อาทิ ทรงให้เลิกหมอบคลาน ทรงนิยมเสด็จประพาสต้นแบบสามัญชนไปเยี่ยมเยียนพบปะพูดจาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับราษฎรใกล้ไกล และทรงนับไว้เป็นพระสหาย แม้เสด็จไปขึ้นรถรางแล้วถูกนายตั๋วไล่ลงเพราะไม่มีเงินค่าโดยสาร ก็เสด็จลงแต่โดยดี มิได้แสดงพระราชอำนาจแม้แต่น้อย พฤติกรรมเหล่านี้คือจิตวิญญาณของมนุษย์ผู้มีความเท่าเทียมอยู่ในพระกมลสันดาน
ดังนั้น “พระเกี้ยว” จึงไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งอำนาจเก่า การกดขี่ และความไม่เท่าเทียม แต่พระเกี้ยวเป็นสัญลักษณ์ของความเสมอภาคและเสรีภาพของคนไทย ที่รัชกาลที่๕ พระราชทานไว้เมื่อเมืองไทยยังไม่มีประชาธิปไตย

พระเกี้ยวจึงเป็นสัญลักษณ์ ของอุดมการณ์ แห่งการอุทิศชีวิต ต่อสู้แสวงหา เพื่อให้ได้มาซึ่งความเสมอภาคอันเป็นเอกลักษณ์ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์

ดังนั้นการอัญเชิญพระเกี้ยวไม่ใช่เพียงการประกาศเกียรติภูมิจุฬาฯ แต่เป็นการประกาศว่า เราคนไทยจักธำรงความเป็นคนที่มีกตัญญูกตเวที พร้อมใจกันยึดถือพระราชมรดก ความเท่าเทียมกันของมนุษย์นี้เป็นอุดมคติร่วมแรงร่วมใจกันทำนุบำรุงนำพาประเทศไทยไปสู่อนาคต

อย่าหวังเลยว่าเราจะหวั่นไหวที่ไม่มีแห่พระเกี้ยวเพราะพระเกี้ยวสถิตอยู่ในจิตวิญญาณแห่งความเท่าเทียมกันของเราเสมอ จากเด็กกำพร้ายากจนคนเกิดกลางสงครามโลกครั้งที่สองได้ดีมีอนาคตมาถึงจุดนี้ก็เพราะโอกาสแห่งความเท่าเทียมที่พระราชทานไว้