ชลน่าน แก้ ม.112 ไม่ใช่ประเด็นหลักเพื่อไทย เป็นตัวกลางนำเข้าสู่สภา

หมอชลน่าน

หมอชลน่าน ชี้แจงเจตนารมณ์ ม.112 เพื่อไทย ในแถลงการณ์ของชัยเกษม ไม่ตรงกับที่สื่อรายงาน ต้นตอคือ ตำรวจ อัยการ ศาล บังคับใช้กฎหมายไม่ตรงกับเจตนารมณ์ พร้อมเป็น “ตัวกลาง” นำเข้าสู่สภา ก่อนแก้กันบนท้องถนน

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2564 ที่รัฐสภา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในการหารือพรรคร่วมฝ่ายค้านจะนำเรื่องญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ให้รัฐบาลมาแถลงข้อเท็จจริง เกี่ยวกับวิกฤตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นขณะนี้ และสภาจะมีข้อเสนอแนะอะไรให้กับรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชน ญัตติที่จะเขียนมุ่งเน้นเรื่องใด แต่จากโพล หรือเสียงประชาชนสะท้อนมาคือวิกฤตเศรษฐกิจ โควิด-19 ปัญหาสุขภาพ และเรื่องสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย การถูกละเมิดสิทธิจับกุมคุมขัง

ดังนั้น ประเด็นที่ดูจะสะท้อนกับสภาพปัญหาและความต้องการของประชาชนเป็นหลัก ทั้งนี้ ถ้าพรรคฝ่ายค้านพร้อม สามารถยื่นญัตติได้ในสมัยประชุมนี้ ซึ่งการอภิปรายคงต้องเร็ว และการมารับหน้าที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะดูเรื่องนี้เป็นหลัก เพราะปัญหารอไม่ได้ กลไกรัฐสภาควรเป็นกลไกที่แก้ไขปัญหาให้กับประชาชน โดยฝ่ายค้านจะเร่งให้เร็วที่สุด

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ส่วนประเด็นแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น คงไม่เป็นประเด็นหลัก แต่อาจมีการหยิบมาพูดคุยกันในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้าน ทั้งนี้ ประเด็นที่พรรคเพื่อไทยแถลงการณ์ในนามของนายชัยเกษม นิติศิริ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางทางการเมืองของพรรค เจตนารมณ์จริง ๆ ที่ออกแถลงการณ์กับที่นำเสนอเผยแพร่ในสื่อไม่ตรงทีเดียวนัก

เพราะเจตนารมณ์ที่แถลงไปมี 2 เรื่องชัด ๆ คือ 1.ต้องการปกป้องคุ้มครองผู้ที่ถูกการบังคับใช้กฎหมายไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ไปจับเขาเป็นนักโทษทางความคิด เพียงเพราะเขาเห็นต่างเท่านั้นก็ไปจับกุมคุมขัง ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง 2.เราเห็นสภาพปัญหาซึ่งจะกลายเป็นวิกฤตทางการเมือง มีความเห็นต่างกันมาก

มีผู้เรียกร้อง ผู้สนับสนุน ผู้ต่อต้าน เราในฐานะพรรคการเมือง ฝ่ายนิติบัญญัติ ถ้าไม่ดึงปัญหาเหล่านั้นมาแก้ไขในสภาตามวิถีประชาธิปไตย สิ่งที่เป็นความเลวร้ายจะเกิดขึ้นคือการแก้ไขนอกสภา เราไม่อยากให้เกิดปัญหานั้น

ต้องรีบอาสารับเรื่องทุกเรื่องเข้าสู่รัฐสภา เพื่อแก้ไขตามวิถีประชาธิปไตย นี่คือเจตนารมณ์ เราไม่ได้มุ่งหมายว่าจะแก้อย่างไร หน้าที่เราขณะนี้รับเรื่องมาก่อน ส่วนจะแก้ไขอย่างไรเป็นหน้าที่ของรัฐสภาตามประเด็นที่เสนอเข้ามา ไม่ว่าเป็นกระบวนการยุติธรรมที่บังคับใช้ที่ไม่ตรงเจตนารมณ์ของกฎหมาย

เริ่มต้นจากตำรวจ อัยการ ศาล เหล่านี้คือกระบวนการยุติธรรม ซึ่งแล้วแต่เขาเสนอเข้ามา พรรคเพื่อไทยไม่ได้บอกว่าจะทำอะไร เราอย่าตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดี ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ จะกลับไปวงจรอุบาทว์เหมือนเดิม มีการปะทะทางความคิดที่แตกแยกกัน

นพ.ชลน่าน ยังกล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแสดงจุดยืนแก้ไขมาตรา 112 ว่า เราฟังความเห็นทุกฝ่ายทุกคน ส่วนจะนำเข้าสู่สภาในมุมไหนหรืออย่างไร มันก็เป็นตามไปสภาพนั้น เราต้องยอมรับความเห็นทั้งสองฝ่าย เพราะเป็นตัวกลางในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติและเป็นหน้าที่ ซึ่งจะปล่อยให้ไปสู้กันบนถนนไม่ได้


ส่วนจะเป็นไปตามความเห็นของผู้ใดก็เป็นไปตามระบบรัฐสภาที่ใช้เสียงข้างมาก ผ่านกระบวนการแก้ไขปัญหา ซึ่งไม่ใช่การแก้ไขกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่กระบวนการบังคับใช้กฎหมายที่มิชอบ เราสามารถใช้กลไกรัฐสภาตรวจสอบและควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินในส่วนนี้ได้ เช่น การตั้งกระทู้ถามสด และนำเข้าสู่กรรมาธิการเพื่อตรวจสอบ อาทิ ทำไมไม่ให้ประกันตัวว่าเพราะอะไร หรือเสนอเป็นญัตติด่วนก็ได้ โดยทำได้หลายมิติ