ซุกหุ้น-เครื่องประดับ-ทรัพย์สินเสี่ยง จุดสลบนักธุรกิจ-นายพลการเมือง

ปมแหวนเพชร-นาฬิกาหรู ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม บานปลาย-ลุกลาม กระทบชิ่ง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

แหวนของมารดา-นาฬิกาของเพื่อน-เพื่อนตายไปแล้วให้มา “คำอ้าง-ข้อชี้แจง” นอกหนังสือคำชี้แจงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ของ “บิ๊กป้อม” ซ้ำ “แผลสด” ให้ยิ่งแสบ ยิ่งคัน

ไม่เพียง “พล.อ.ประวิตร” เท่านั้น เมื่อตัดสินใจลงมาจมปลัก “โคลนการเมือง” แล้ว ต้องถูกตรวจสอบ-จับผิดทรัพย์สมบัติ จาก ป.ป.ช. จนถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาห้ามเล่นการเมือง 5 ปี ติดคุก-ยึดทรัพย์จำนวนมหาศาลให้ตกเป็นของแผ่นดิน

หุ้นมารดา ไม่ใช่ของคู่สมรส 

นายเกษม นิมมลรัตน์ อดีต ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.) ถูก ป.ป.ช.ชี้มูล จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินพร้อมเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีไม่ยื่นแสดงรายการทรัพย์สินฯ การ “โอนหุ้น” ของ “คู่สมรส” ให้กับ “มารดา” จำนวน 20.6 ล้านหุ้น มูลค่า 74 ล้านบาท

จุดเริ่มต้นเกิดจาก “สัญญากู้ยืมเงิน” ระหว่างคู่สมรสกับมารดา จำนวน 72 ล้านบาท เพื่อไป “ซื้อหุ้น” จาก “บริษัทหนึ่ง” และนำไปขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ และนำเงินไปลงทุนซื้อหุ้น “อีกบริษัทหนึ่ง” โดย “โอนหุ้นที่เหลือ” ให้กับมารดาเพื่อชำระหนี้เงินกู้

นายเกษมคัดค้านว่า หุ้น “อีกบริษัทหนึ่ง” ซึ่งลงทุนซื้อขายตามปกติของคู่สมรส “ไม่อยู่ในวาระ” ที่ต้องยื่นต่อ ป.ป.ช. จึงไม่ต้องแสดงทรัพย์สินฯ สาเหตุการไม่แสดงรายการทรัพย์สินฯ คือ “หุ้น” ของคู่สมรสที่โอนให้กับมารดา จำนวน 20.6 ล้านหุ้น เพื่อ “ชำระหนี้” เงินกู้ ให้แก่มารดา ซึ่งไม่อยู่ในวาระที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินฯต่อ ป.ป.ช. และหุ้นดังกล่าว “เป็นของ” มารดา “มิใช่” ของคู่สมรส

ศาลพิพากษาให้ทรัพย์สินที่ “เพิ่มขึ้นผิดปกติ” มูลค่า 168 ล้านบาท อาทิ หุ้น เงินได้จากการขายหุ้น โฉนดที่ดิน “ตกเป็นของแผ่นดิน”

บ้านได้มาก่อนดำรงตำแหน่ง

นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีต ส.ส.อ่างทอง พรรคชาติไทย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ ป.ป.ช.ชี้มูล ข้อกล่าวหา “ร่ำรวยผิดปกติ” คือ บ้านเลขที่ 5/5 หมู่ที่ 5 ต.ไผ่จำศีล อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง 16 ล้านบาท

นายสมศักดิ์คัดค้านว่า ไม่ได้เป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมาในระหว่างดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ หากแต่”มีมาก่อน” ดำรงตำแหน่ง

ศาลพิพากษาให้บ้านพร้อมที่ดินดังกล่าว ปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 14360 เนื้อที่ 3 ไร่ 24.1 ตารางวา มูลค่า16 ล้านบาท “ตกเป็นของแผ่นดิน”

นายสมบัติ อุทัยสาง อดีต รมช.คมนาคม และอดีต รมช.มหาดไทย ป.ป.ช. ยื่น “ฟ้องเอง” ว่า จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินฯ อันเป็นเท็จ ขณะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย รมช.มหาดไทย สมัยรัฐบาลทักษิณ และที่ปรึกษา รมว.กระทรวงไอซีที ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 2 เดือน ปรับ 4,000 บาท รอลงอาญา 1 ปี และห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี

น้องภรรยาถือหุ้นแทน

นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สมัยรัฐบาลทักษิณ และอดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินฯ อันเป็นเท็จ ขณะเป็น ส.ส. และ รมว.ทรัพย์

โดยการทำ “สัญญาซื้อขายหุ้น” จำนวน 24,500 หุ้น มูลค่า 2.45 ล้านบาท เพราะนายยงยุทธกำลังจะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ จึงโอนหุ้น ในบริษัทให้ “น้องภริยา” ทำการ “ถือหุ้นแทน” เพื่อต้องการ “หลีกเลี่ยง” การ”ถือหุ้น” ในบริษัท “เกินร้อยละห้า”

ศาลพิพากษาจำคุก 2 เดือน ปรับ 4,000 บาท “รอลงอาญา” 1 ปี และเป็น “ผู้ต้องห้าม” มิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี

น.ส.นฤมล หรือณัฐกมล หรือณฐกมล หรืออินทร์ริตา นนทะโชติ อดีตที่ปรึกษา รมว.กลาโหม (พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ) ป.ป.ช.ชี้มูล มีทรัพย์สิน “เพิ่มขึ้นผิดปกติ” ศาลพิพากษาให้ทรัพย์สิน 68 ล้านบาท-ดอกผล ตกเป็นของแผ่นดิน4.6 หมื่นล้านตกเป็นของแผ่นดิน

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (ยศในขณะนั้น) อดีตนายกฯ 2 สมัย ถูกอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง “ขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน”

ถึงแม้ว่านายทักษิณจะ “โอนหุ้น” ให้ “คนใกล้ชิด” ถือแทน แต่นายทักษิณยังเป็น “เจ้าของหุ้น” ที่แท้จริง จำนวน 1,419 ล้านหุ้น หรือร้อยละ 48 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ที่จำหน่ายได้ในระหว่างที่นายทักษิณดำรงตำแหน่ง

นายทักษิณคัดค้านว่า เงินปันผลและเงินที่ได้จากการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป 76,621 ล้านบาท ไม่ใช่เงินของนายทักษิณและคุณหญิงพจมาน-คู่สมรส และไม่ใช่เงินที่ได้จากการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์

ศาลพิพากษาให้เงินที่ได้จากการ “ขายหุ้น” และเงิน “ปันผล” หุ้นของบริษัทชินคอร์ป 46,373 ล้านบาท พร้อม “ดอกผล” เฉพาะ “ดอกเบี้ย” ที่ได้จากบัญชีเงินฝาก ตกเป็นของแผ่นดิน ได้แก่ “บัญชีเงินฝาก” และ “หน่วยลงทุน”

หลงผิด-ขาดประสบการณ์

น.ส.ชิณณิชา วงศ์สวัสดิ์ อดีต ส.ส.เชียงใหม่ พท. ป.ป.ช.ชี้มูล จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินฯ อันเป็นเท็จ กรณีไม่แสดงรายการหนี้สิน “เงินกู้ยืม” จากนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ จำนวน 100 ล้านบาท

ถึงแม้ว่าต่อมา น.ส.ชิณณิชา จะมีหนังสือ “ขอแก้ไข” เพิ่มเติมว่า สาเหตุที่ไม่ได้แสดงรายการหนี้สินเงินกู้ เพราะ “ความหลงผิด-เข้าใจคลาดเคลื่อนโดยสุจริต”

ไม่มีเจตนาปกปิดมาตั้งแต่แรก ซึ่งเกิดจากการ “ขาดความรู้-ประสบการณ์” การดำรงตำแหน่งทางการเมือง “สมัยแรก”-“อายุน้อยที่สุด”

ศาลพิพากษาให้พ้นจากตำแหน่ง ส.ส. และห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี ทันที จำคุก 2 เดือน ปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้ รอลงอาญา 1 ปี

นายวิทูร กรุณา อดีตที่ปรึกษา รมว.วัฒนธรรม (นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ-ประชาธิปัตย์) จงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินฯต่อ ป.ป.ช. และให้ชี้แจง 6 ครั้ง แต่กลับเพิกเฉย

นายวิทูรอ้างว่า “เข้าใจผิด” ระหว่างตนและบุคคลที่มอบหมาย ที่ต่างเข้าใจว่าอีกฝ่ายยื่นแล้ว และ “ไม่จงใจ” ฝ่าฝืนกฎหมาย และยกเหตุ “อุทกภัย” เมื่อปีི ขึ้นเป็น “ข้อแก้ตัว”

อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่า “ไม่สมเหตุสมผล” และพิพากษาให้จำคุกกระทงและ 2 เดือน ปรับกระทงละ 4,000 บาท รวมจำคุก 4 เดือน และปรับ 8,000 บาท รอลงอาญา 1 ปี และห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี

ตกม้าตายเพราะเชื่อเพื่อน

นางอรพินท์ มั่นศิลป์ อดีต ส.ว.นครสวรรค์ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินฯ อันเป็นเท็จ กรณีไม่แสดงรายการหนี้สินของตนที่มีต่อธนาคารทหารไทย จำนวน 171 ล้านบาท

นางอรพินท์คัดค้านว่า เนื่องจาก “หนี้สิน” เป็นของ “อดีตสามี” และนางอรพินท์เพียงแต่ลงนามในสัญญา “ค้ำประกัน” ประกอบกับต่อมา อดีตสามีตกลงทำ “สัญญาประนีประนอม” ยอมความ โดยที่นางอรพินท์ “ไม่มีภาระผูกพัน” กับหนี้สิน

นอกจากนี้ ยังเข้ารับตำแหน่ง ส.ว.สมัยแรก-ไม่มีประสบการณ์ยื่นบัญชี และ “แบบฟอร์ม” เกี่ยวกับรายการแสดงหนี้สินหน้า 4 “ไม่ได้ระบุ” ให้กรอกรายการเกี่ยวกับ “ภาระค้ำประกัน”

รวมถึง “เพื่อน” ส.ว.แนะนำว่า ภาระค้ำประกันไม่ใช่รายการหนี้สินที่จะต้องยื่น แต่ได้ทำหนังสือขอแจ้งบัญชีเพิ่มเติม 1 รายการ จำนวน 180 ล้านบาท

ศาลให้ จำคุก 2 เดือน ปรับ 4,000 บาท รอลงอาญา 1 ปี เว้นวรรคการเมือง 5 ปี

เงินจากเล่นการพนัน

นายรักเกียรติ สุขธนะ อดีต รมว.สาธารณสุข ป.ป.ช.ชี้มูล ข้อกล่าวหา “ร่ำรวยผิดปกติ” และอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ขอให้ “ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน”

โดยมี “ผู้ยื่นคำร้อง” ต่อ ป.ป.ช. กล่าวหานายรักเกียรติ ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข มี “เงินไหล” เข้า-ออก ในบัญชีเงินฝากธนาคารของ “คู่สมรส” นับร้อยล้านบาท สงสัยว่าเงินดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับการทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์

โดยนายรักเกียรติไม่สามารถชี้แจงที่มา-ที่ไป “ให้เชื่อ” ได้ว่า “เงินฝาก” ในบัญชีหลายแห่งที่ “เพิ่มขึ้น” จำนวน 233.8 ล้านบาท ได้มาอย่างไร

“บางช่วง” ของ “คำชี้แจง” นายรักเกียรติยอมรับว่า เงินเป็นของตน ได้จากการ “เล่นการพนัน” บางส่วนเป็นเงิน “กู้ยืม” บางส่วนเป็น “เงินส่วนตัว” ของภรรยา ศาลพิพากษาให้ทรัพย์สิน 233.8 ล้านบาท “ตกเป็นของแผ่นดิน”

คดีค้างท่อ รอ ป.ป.ช.เชือด

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องกล่าวหาที่อยู่ใน “บัญชี” ป.ป.ช. ระหว่างดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง อาทิ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ “ร่ำรวยผิดปกติ” โดยร่วมกันเป็นเจ้าของคอกม้า “รุ่งโรจน์ รุ่งพัชร”

เป็นทำเนียบนักการเมืองชอบซุกซ่อน-เก็บลับทรัพย์สินในที่มืด