กลาโหมเดินหน้าตั้งโรงงานซ่อมอาวุธ-โรงซ่อมคลังอะไหล่รถถัง-ยานเกราะล้อยางจีน ในไทย

กลาโหมเปิดแผนตั้งศูนย์ซ่อมอาวุธในไทยคืบ ร่วมมือจีนตั้งโรงซ่อม-คลังอะไหล่ รถถัง VT-4 รถเกราะ VN-1 ซ่อมรถสายพานเก่า T- 85 ที่ “ขอนแก่น-โคราช” เสร็จปี 62 แก้ กม.เอื้อผลิตเพื่อขาย–ให้บีโอไอ ดึงบริษัทไทยร่วม

เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าในนโยบายเสริมสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศว่า มีความคืบหน้าไปมากโดยเฉพาะกับประเทศจีน และได้ตั้งคณะทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงกลาโหมไทย และจีน พิจารณาแนวทางการจัดตั้งโรงงานซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ และแนวทางการดำเนินการด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ขณะนี้ตกลงกันในการซ่อมบำรุงขั้นต้น และจัดตั้งคลังสะสมชิ้นส่วนซ่อมที่สำคัญๆ สำหรับรถถัง VT-4 รถสายพานลำเลียงพล VN-1 รวมทั้งซ่อมบำรุงรถสายพานลำเลียงพล T-85 ที่มีใช้ในกองทัพบก เมื่อพูดคุยกับกระทรวงกลาโหมจีนแล้วได้ให้ไทยเสนอแผนงานที่เขาต้องสนับสนุน และปลาย ก.ย.60 ที่ผ่านมาได้กำหนดรูปแบบในการจัดตั้งโรงงานขึ้นมาโดยมีผู้แทนจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม และ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เข้ามาร่วมให้ข้อมูลด้วย เพราะทั้งหมดต้องเป็นไปตามพ.ร.บ.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าว ปี 2542 ซึ่งกำหนดให้ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) ถือหุ้น 51% สำหรับเงินที่จะใช้ในการจัดตั้งจะจัดสรรจากงบประมาณที่จัดสรรจากรัฐบาล หรือ จากงบฯที่ภาคเอกชนระดมทุนร่วมกัน อีก 49 % จะเป็นของจีน ซึ่งอาจจะเป็นบริษัท โนรินโก้ หรือ บริษัทที่เป็นผู้แทนของรัฐบาลจีนกำหนดขึ้นมา

โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวอีกว่า ทั้งนี้กระทรวงกลาโหม ได้กำหนดแผนงานไว้ 3 ระยะด้วยกัน 1.ระยะสั้นคือ ปี 2560-2564 ก็จะมีการจัดตั้งโรงงานซ่อมบำรุงสนับสนุนโดยตรง ให้กับรถถัง ม.พัน 6 ที่จังหวัดขอนแก่น และ จัดตั้งคลังสะสมชิ้นส่วนซ่อมในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา และ ซ่อมบำรุงรถสายพานลำเลียง T-85 ของกองทัพบก อีก 80 คัน โดยจะดำเนินการให้เสร็จในปี 2562 สำหรับระยะกลางคือปี 2565-2569 จะจัดตั้งโรงซ่อมยุทโธปกรณ์ พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีตามแผนการลงทุนไทย – จีน และในระยะที่ 3 ตั้งแต่ปี 2570 จะเป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ภาคเอกชนในการร่วมดำเนินการมากขึ้น ถือว่าภาพรวมของงานอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาโครงการที่ผ่านการวิจัย เช่นกล้องตรวจการณ์เวลากลางคืน อากาศยานไร้คนขับ เสื้อเกราะกันกระสุน การผลิตกระสุนปืนใหญ่ ที่ผ่านการวิจัยเพื่อมาพัฒนาผลิตสู่การใช้งานจริง ถือเป็นภาพรวมในส่วนที่เราเดินหน้าไปมากกับจีน

พล.ท.คงชีพ กล่าวว่า สมาคมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ จะมีภาคเอกชนเป็นสมาชิกได้ดำเนินการกับภาครัฐมานานแล้ว ซึ่งพร้อมจะเข้ามาระดมทุนเข้ามาร่วมผลิต หรือเป็นตัวแทนให้กับภาครัฐ นำไปสู่การดำเนินการในระยะสุดท้าย ที่ต้องการให้ พ.ร.บ.อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ที่กำลังร่างอยู่ทำให้ภาคเอกชนแข็งแรงและยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง จากกฎหมายตัวเดิมที่ไม่สามารถตอบสนองในเรื่องการผลิตไปสู่การจำหน่ายเชิงพาณิชย์ โดยกระทรวงกลาโหม ได้รับคำแนะนำจากกระทรวงการคลัง ว่าต้องปรับ สทป.เป็นองค์กรมหาชน การพัฒนาเทคโนโลยีต่อไปการลงทุนด้านนี้ก็จะเหมือนกับต่างประเทศ หรือ ทางจีนที่ใช้บริษัทเอกชนที่เป็นผู้แทนรัฐบาลในการลงทุน การคัดเลือกจะพิจารณาจากเอกชนที่มีความรู้ ความชำนาญในด้านต่างๆ

“จะเห็นได้ว่าเฟสแรกเป็นการขอต่อรองเพิ่มเติมจากการจัดหาทั้งศูนย์ซ่อมที่ขอนแก่น และคลังสะสมอะไหล่ที่โคราชของรถถังจีน วีที-4 จะเห็นได้ว่าในอดีตเราซื้ออะไรมา เราซื้ออย่างเดียว ไม่ได้กำหนดอะไร พอมารัฐบาลปัจจุบันก็บอกว่าซื้ออย่างเดียวไม่ได้แล้ว ยกตัวอย่างเช่น ประกอบจากข้างนอกมาก่อน 30 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลืออีก 40 เปอร์เซ็นต์ต้องมาประกอบข้างใน และที่เหลือต้องมาถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับเรา ไม่ใช้ซื้อแล้วยกมาทั้งหมด นอกจากนั้น ในส่วนประเทศอื่นก็มีความร่วมมือทางเทคนิคทางทหารกับ รัสเซีย ซึ่งยังไม่ได้ข้อยุติ สำหรับยูเครน ก็อยากมาลงทุนร่วมกับเรา แต่เขายังไม่มีความพร้อม เนื่องจากมีปัญหาสงครามของเขา ทำให้สายการผลิตกับต่างประเทศไม่ได้ ในส่วนของตะวันออกกลาง อยากลงทุนเรื่องรถยนต์บรรทุกทางทหาร ขณะนี้ความสัมพันธ์เรากับประเทศต่างๆ ค่อนข้างดี “

โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ไปศึกษาเรื่องสิทธิประโยชน์ในการลงทุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เหมือนการลงทุนในเชิงพาณิชย์ด้วย เราก็จะผลักดันตรงนี้ไปควบคู่กับเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่มีอุตสาหกรรมด้านอื่นๆ ด้วย ดังนั้น อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ทางบีโอไอก็จะต้องไปคุยเรื่องสิทธิประโยชน์กับคนที่จะเข้ามาลงทุนด้วย ทั้งนี้เชื่อว่าแนวทางที่ทำอยู่นี้น่าจะทำให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศเดินต่อไปได้ เพราะไทยมีความได้เปรียบเรื่องภูมิยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางทางบอกในอาเซียน และ ประเทศรอบบ้านก็จะมีส่วนที่มีอาวุธจีนเข้าประจำการ การลงทุนครั้งนี้อาจจะพัฒนาเป็นศูนย์ซ่อมในอาเซียนก็ได้ เรื่องนี้ถือว่าเป็นการริเริ่มนโยบายของพล.อ.ประวิตร ถือเป็นผลงานของท่าน การซื้ออาวุธต้องมีการลงนามในเอ็มโอยู เรื่องขั้นตอนการซื้อ การประกอบในประเทศไทย และ มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี อะไหล่ซ่อมบำรุง

เมื่อถามว่า จะถือว่าเป็นการหมดยุคของค่าคอมมิชชั่นจัดซื้ออาวุธ พล.ท.คงชีพ กล่าวว่า จะใช้คำว่าว่าหมดยุคคอมมิชชั่น หมดยุคนายหน้า คงไม่ได้ เพราะตนไม่ทราบ แต่ พล.อ.ประวิตร ต้องการให้การจัดหาอาวุธผูกเรื่องผลประโยชน์ที่กองทัพได้รับ ต่อไปจะเป็นการซื้อตรงแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล มีการต่อรองเพื่อขอให้เขาเข้ามาประกอบในไทย ถ่ายทอดเทคโนโลยี ตั้งโรงงานซ่อมบำรุงร่วมกัน พัฒนาไปสู่ในเรื่องการร่วมผลิต