มท.1แจงเหตุ ปกครองจับตร.-ปลัดมท.สายตรงผบ.ตร.ยอมรับจนท.เข้าใจผิด พร้อมขอโทษ

มท.1 แจงปม ส.ต.ต.พกปืน เหตุเพราะเพิ่งกลับจากปฏิบัติหน้าที่ ชี้ตั้งแต่นี้จะให้จนท.พิจารณาตามสภาพความเป็นจริง

เมื่อเวลา 09.45 น. ที่กระทรวงมหาดไทย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ฝ่ายปกครองและอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) จ.พัทลุง ตั้งด่านจับกุมตำรวจยศ “ส.ต.ต.” ซึ่งปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในข้อหาพกพาอาวุธโดยไม่มีใบอนุญาต รวมถึงขัดคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่าในการปฏิบัติต้องมีความเข้าใจในเรื่องนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเดินทางกลับไปปฏิบัติหน้าที่ที่จ.ยะลา แล้วมาโดนจับอาวุธ ก็น่าจะมีแนวทางปฏิบัติในพื้นที่ให้ชัดเจน ซึ่งตนจะแจ้งให้เจ้าหน้าที่ส่วนที่เกี่ยวข้องของกระทรวงมหาดไทยรับทราบต่อไป เรื่องที่เกิดขึ้นคงต้องเข้าใจทางเข้าหน้าที่ตำรวจด้วยเพราะกำลังเดินทางกลับมา มีความจำเป็นต้องพกพาอาวุธ ต่อจากนี้จะให้เจ้าหน้าที่เราพิจารณาตามสภาพความเป็นจริง คงจะไม่ให้มีข้อขัดแย้งเกิดขึ้นอีก เพราะไม่มีประโยชน์และเป็นเจ้าหน้าที่ที่ทำงานร่วมกันในพื้นที่ต้องมีความเข้าใจกัน

เมื่อถามว่า ขณะนี้ “ส.ต.ต.” คนดังกล่าวได้ถูกดำเนินคดีแล้วจะมีการสั่งการเพิ่มเติมไปอย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ถ้าพูดถึงในแง่กฎหมาย คงต้องขอไปดูในรายละเอียด กฎหมายต้องอยู่ด้วยกฎหมาย แต่จะไม่ให้มีผลกระทบเกิดขึ้นอีก ตนพูดลึกไปกว่านี้ไม่ได้ ทั้งนี้ในด้านความเป็นจริงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานชายแดนส่วนใหญ่จะต้องพกพาอาวุธ มันเป็นไปไม่ได้ที่เดินทางกลับเข้ามาแล้วจะไม่มีอาวุธเพื่อป้องกันตัว

ด้านนายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า หลังทราบข่าวได้โทรศัพท์ไปพูดคุยกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจแล้ว โดยเป็นความเข้าใจผิดของหน่วยปฏิบัติซึ่งได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด หารือกับผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง หาทางออก และแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยเฉพาะคดีความที่ 2 ฝ่ายทราบข้อเท็จจริงตั้งแต่ต้นเพื่อยุติเรื่องดังกล่าวไม่ให้บานปลาย หากเรื่องนี้จะทำให้เกิดความไม่สบายใจขึ้น ตนในฐานะหัวหน้าต้นสังกัด พร้อมขอโทษยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งหรือมีความขัดแย้งกับตำรวจ สำหรับการพกพาอาวุธจะมีระเบียบปฏิบัติของแต่ละหน่วยงาน แต่หากจำเป็นคงต้องพูดคุยทำความเข้าใจกันเพราะหน้าที่ของฝ่ายปกครองคือ การดูแลความสงบเรียบร้อย ดังนั้นจากนี้จะกำชับแนวทางปฏิบัติ ให้เพิ่มการใช้ดุลพินิจ และอาจยืดหยุ่นในบางกรณี แต่จะต้องไม่ให้แนวทางการดูแลความปลอดภัยลดประสิทธิภาพ

 

 


ที่มา : มติชนออนไลน์