นิพนธ์ พร้อมพิสูจน์ความบริสุทธิ พันคดีรถซ่อมบำรุงอเนกประสงค์ อบจ.สงขลา

นิพนธ์ เปิดบ้าน รับกำลังใจจากผู้นำท้องถิ่น-กลุ่มผู้นำกลุ่มสตรีสงขลากว่า 200 คน ยืนยัน คดีรถซ่อมบำรุงอเนกประสงค์ อบจ.สงขลา ทำทุกอย่างถูกต้องตามระเบียบ ลั่น พร้อมสู้ถึงที่สุด

วันที่ 11 มิถุนายน 2565 ที่บ้านพักจังหวัดสงขลา นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย เปิดบ้านต้อนรับกลุ่มมวลชน นำโดยนายไพเจน มากสุวรรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สงขลา คณะผู้บริหาร สมาชิกสภา และข้าราชการในสังกัดอบจ.สงขลา นายกเทศมนตรีเมืองเขารูปช้างและสมาชิกเทศมนตรีเมืองเขารูปช้าง กลุ่มผู้บริหารเทศบาลนครสงขลา กลุ่มผู้นำสตรีจังหวัดสงขลา และพี่น้องประชาชนที่เข้ามามอบช่อดอกไม้ให้กำลังใจให้แก่นายนิพนธ์กว่า 200 คน พร้อมขอให้สู้ต่อไปเพื่อสิ่งที่ถูกต้องและเพื่อปกป้องผลประโยขน์ของแผ่นดิน

ทั้งนี้ นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีมติส่งฟ้องเอง ภายหลังอัยการสูงสุดมีสั่งไม่ฟ้อง ต่อศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีไม่จ่ายเงินให้กับบริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด ในโครงการจัดซื้อจัดจ้างรถซ่อมบำรุงอเนกประสงค์ อบจ.สงขลา จำนวน 2 คน มูลค่า 50.85 ล้านบาท ในขณะที่นายนิพนธ์ดำรงตำแหน่งนายกอบจ.สงขลา โดย ป.ป.ช.จะยื่อต่อศาลภายในเดือนมิถุนายน

นายนิพนธ์กล่าวว่า ขอบคุณที่เดินทางมาให้กำลังใจในครั้งนี้ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นกรณีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 ได้อนุมัติหมายจับกลุ่มบริษัทคู่เทียบที่มาทำการจัดซื้อจัดจ้างรถซ่อมบำรุงทางอเนกประสงค์ของอบจ.สงขลา ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาให้ ทาง อบจ.สงขลาต้องจ่ายเงินให่แก่บริษัทที่ชนะการประมูลที่กระทำผิดพ.ร.บ.ฮั้วกลุ่มนี้

หลังจากที่อบจ.สงขลาไปแจ้งความดำเนินคดี ทั้งในคดีการจัดซื้อครั้งที่ 1 ที่ 2 และ การจัดซื้อในครั้งที่ 3 ในกรณีของผมเป็นการจัดซื้อครั้งที่ 3 สรุปก็คือตำรวจสภ.เมืองสงขลาสั่งมีมูลคือฟ้อง ตั้งข้อหาบริษัทพลวิศน์และพวกกระทำควาผิดฐานฮั้วปลอมแปลงเอกสารและใช้เอกสารปลอม เมื่อสั่งฟ้องในคดีครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 นำไปให้ป.ป.ช.ตรวจ เมื่อป.ป.ช.ตรวจแล้วเห็นว่าไม่มีข้าราชการคนใดทำความผิด ป.ป.ช.จึงส่งเรื่องมาให้ตำรวจดำเนินคดีต่อไป

ต่อมาตำรวจได้มีหมายเรียกให้มาพบเพื่อส่งตัวไปศาล แต่ผู้ต้องหาไม่มา3 ครั้ง ศาลจึงออกหมายจับในข้อหาฮั้วและปลอมเอกสารใช้เอกสารปลอม ซึ่งก็จะมีการดำเนินคดีต่อไป”นายนิพนธ์ชี้แจง

ADVERTISMENT

นายนิพนธ์กล่าวว่า ส่วนคดีการจัดซื้อครั้งที่ 3 ของตน ตำรวจสงขลาบอกว่าเมื่อสรุปสำนวนแล้วปรากฏว่ามีความผิดจริงกล่าวคือมีการฮั้วกันและปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอม ซึ่งทั้ง 3 ครั้งจะใช้เอกสารเดียวกันหมด แต่ก็อาจมีความแตกต่างกันบ้างในเรื่องของตัวบุคคล แต่ตัวเอกสารหลักๆก็จะใช้ชุดเดียวกันหมด มาจากออสเตรเลีย มาจากอังกฤษ มาจากเนเธอร์แลนด์ เป็นชุดเดียวกันที่ปลอมมาจากต่างประเทศ แม้กระทั่งจากมาเลเซีย

ในกรณีครั้งที่ 3 เมื่อตำรวจสรุปสำนวนอย่างนั้นบริษัทเหล่านี้จึงไปร้องต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอให้ส่งเรื่องนี้ไปให้กองปราบปรามลงมาดูแลซึ่งในที่สุดตำรวจกองปราบก็ได้ผลสรุปสำนวนว่ามีการฮั้วกันจริงพร้อมกับการปลอมเอกสารใช้เอกสารปลอม แต่เนื่องจากคดีฮั้วมีระเบียบอยู่ว่าต้องส่งไปให้ป.ป.ช.ตรวจ

ADVERTISMENT

“โดยขณะนี้คดีครั้งที่ 3 ยังอยู่ที่ป.ป.ช. แต่ครั้งที่ 1และครั้งที่ 2 ป.ป.ช.ได้ส่งกลับมาแล้ว จึงเป็นที่มาที่ตำรวจภูธรจังหวัดสงขลาไปขอออกหมายจับ และศาลก็อนุมัติออกหมายจับไปแล้ว ดังนั้นผมจึงคิดว่าเมื่อศาลอาญาทุจริตภาค9 ออกหมายจับในคดีฮั้วประมูลรถนี้ เบื้องต้นที่ไปแจ้งความเป็นเพราะว่ามีหนังสือของรองผู้ว่าราชการจังหวัด ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัด มีหนังสือมาถึงนายก อบจ.ว่ามีคนร้องเรียนในเรื่องนี้ จึงขอให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรายงานให้จังหวัดทราบ พร้อมกันนั้นในข้อ 4 ยังมีข้อความให้ระงับการจ่ายเงินไว้ก่อน ฉะนั้นผมจึงต้องทำตามที่จังหวัดสั่งมา”นายนิพนธ์กล่าว

นายนิพนธ์กล่าวว่า เมื่อสอบข้อเท็จจริงได้ความว่าฮั้วและผลสรุปของคณะกรรมการที่มีรองปลัดอบจ.เป็นประธานสอบ สรุปสำนวนบอกว่ามีการฮั้วกันจริง ดังนั้นผมจึงไม่กล้าจ่ายเงิน และบัดนี้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อศาลอนุมัติหมายจับแล้วว่ามีความผิดพ.ร.บ.ฮั้ว ปลอมแปลงเอกสาร ใช้เอกสารปลอม เท่ากับคนกลุ่มนี้มีส่วนกระทำความผิดกฎหมายเกี่ยวกับการฮั้วประมูล ผมในฐานะคนของรัฐผมจึงต้องใช้วินิจฉัยในการตัดสินใจว่า การรักษาผลประโยชน์ของเอกชนกับการรักษาผลประโยชน์ของรัฐ ผมควรรักษาผลประโยชน์ของใคร ซึ่งผมก็ตัดสินใจว่าผมต้องรักษาผลประโยชน์ของรัฐ เพราะนี่คือภาษีอากรของประชาชน และบัดนี้สิ่งที่คณะกรรมการตรวจสอบมาแล้วว่าฮั้วมันมีพยานหลักฐานไปถึงศาลแล้ว มีการออกหมายจับผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ผมจึงสามารถอธิบายได้ว่า ที่ทำไปไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งใคร ทำไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน

“มิเช่นนั้นวันข้างหน้าท้องถิ่นจะทำอะไรในการจัดซื้อจัดจ้าง คงต้องเอาความปลอดภัยของตัวเองไว้ก่อน เพราะผลประโยชน์ของรัฐ ก็ไม่มีคนรับผิดชอบ เพราะถ้าเอาผลประโยชน์ของเอกชนเป็นที่ตั้ง แล้วอย่างนี้ใครจะดูแลผลประโยชน์ของรัฐ นี่คือต้องหาข้อยุติให้ได้ว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ไม่ใช่ตรวจสอบพบว่าว่าฮั้วทำผิดกฏหมายแล้วต้องจ่าย อย่างนี้งบประมาณแผ่นดินก็ต้องไปเรียกคืนเอาเองทีหลัง นี่คือปัญหาที่ต้องหาข้อยุติให้ได้ อย่างคดีนี้ถ้าสมมุติเมื่อจ่ายกันแล้ว และในที่สุดมีการฮั้วกันจริง คดีถึงที่สุดสัญญาก็จะเป็นโมฆะ แล้วจะไปฟ้องเอาเงินที่ใคร และนี่คือสิ่งที่ผมบอกว่าผลประโยชน์ของรัฐ ภาษีของประชาชนกับเรื่องของเอกชนที่ทำความผิด ซึ่งผมก็ต้องสู้ในเรื่องนี้จนถึงที่สุดเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน”นายนิพนธ์กล่าว