“สมชัย เลิศสุทธิวงค์” ซีอีโอ AIS พอใจในชีวิต เหลืออย่างเดียว…อยากแต่งงาน

สัมภาณ์ สมชาย เลิศสุทธิวงศ์ CEO ของ AIS

เอไอเอส เป็นแบรนด์และองค์กรที่ขึ้นชื่อในเรื่องความทันสมัย ไฮเทค อยู่ในอุตสาหกรรมที่ต้องพัฒนาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จากให้บริการโทรศัพท์มือถือ ปัจจุบันนี้เป็นผู้ให้บริการ “ดิจิทัลไลฟ์ เซอร์วิส” ที่พัฒนาเทคโนโลยีและบริการใหม่ ๆ มาตอบสนองไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลอย่างไม่หยุดนิ่ง

ตัดภาพมาที่ สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท (ซีอีโอ) ที่เวลาขึ้นเวทีฉายวิสัยทัศน์ เขาบรรยาย อวดเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างฉะฉาน แต่จริง ๆ แล้วเจ้าตัวบอกว่า ไม่ใช่คนที่อินกับเทคโนโลยีเท่าไหร่นัก

ทั้งที่เรียนจบปริญญาตรีด้านคอมพิวเตอร์ แต่การที่ไม่ได้เป็นเทคเลิฟเวอร์ กลับเป็นประโยชน์ต่อการทำงาน เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวแทนของลูกค้า เข้าใจจากมุมของลูกค้าว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ออกมานั้นใช้ยากหรือไม่ ถ้ายากจะแก้ไขอย่างไรให้ลูกค้าใช้ง่าย ซึ่งถ้าตัวเองเป็นคนหลงใหลเทคโนโลยี รู้ทุกอย่าง ก็อาจจะไม่เข้าใจลูกค้า ย้อนไปตรงที่ว่าไม่ได้เป็นคนคลั่งไคล้เทคโนโลยีแต่เลือกเรียนด้านคอมพิวเตอร์ พี่ใหญ่แห่งเอไอเอสเล่าชีวิตตัวเองให้ฟังว่า

“ไม่อยากบอกเลยครับว่าเป็นคนเรียนเก่ง ก็อยากเรียนหมอ แต่ผมเป็นคนขี้เกียจไม่อ่านหนังสือ คนสมัยก่อนถ้าตกจากหมอก็ต้องวิศวะ แต่ผมเป็นคนขี้ร้อน ไม่ค่อยชอบไปตากแดด วิศวะต้องยกนู่นยกนี่ ออกฟีลด์ ตกจากแพทย์ถ้าไม่เอาวิศวะ คณะที่คะแนนสูงสุดคือสถิติที่สอนคอมพิวเตอร์ ผมก็ไม่เลือกวิศวะเลย เลือกหมอแล้วก็สถิติ ตกจากหมอก็เลยได้เรียนสถิติ”

หลังจากเรียนจบภาควิชาสถิติ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขาก็ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ที่ธนาคารไทยพาณิชย์อยู่ 6 ปี แต่ในใจก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้ชอบงานคอมพิวเตอร์มากมายนัก จึงไปเรียนโท บริหารธุรกิจ เอกการตลาด ที่จุฬาฯ

หลังจบโทหนึ่งปีก็ย้ายไปทำงานเป็นพนักงานขายและการตลาด บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ โยกย้ายหน้าที่การงานไปหลายตำแหน่ง จนมาทำงานเอไอเอส ในปี 2541 และขึ้นสู่ตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารเมื่อปี 2557

สมชัยเล่าว่า “จากที่คิดว่าตัวเองเรียนเก่ง มารู้ตัวว่าไม่เก่งตอนเข้าจุฬาฯ เพิ่งรู้ว่าตัวเองเรียนไม่เก่งเมื่อเทียบกับเด็กเตรียมอุดม เด็กสวนกุหลาบ พวกนี้อ่านหนังสือเกือบทุกหน้า เวลาเห็นโจทย์มันตอบเลย ขณะที่เราเห็นโจทย์เราต้องคิด เราก็เลย โอ้… ไม่เอาเว้ย เทอม 2 ผมก็กลับมาเรียนก็ได้เกรด 3 กว่า แล้วพอหลังปี 1 ผมก็ตัดสินใจว่าชีวิตเรามีค่า ผมก็เลยไม่เรียน ผมก็ไปทำกิจกรรม (หัวเราะ)”

ด้วยประสบการณ์ที่ไม่เรียนและไม่อ่านหนังสือ วันนี้ซีอีโอระดับประเทศอยากแชร์อยากบอกกับเด็กรุ่นหลังว่า “เรียนหนังสือเถอะ เพราะว่าอะไรรู้ไหม พอผมจบ ป.ตรี ผมบอกได้เลยว่าแทบไม่มีความรู้เลย นี่ไม่เคยให้สัมภาษณ์กับใครเลยนะ”

เขาเล่าต่ออีกว่า พอรู้ว่าตัวเองทำไม่เป็นจึงมาตั้งใจเรียนรู้และขยันในตอนทำงาน

“เนื่องจากผมเป็นคนสอบเก่ง ผมสอบเข้าไทยพาณิชย์ผมได้ที่ 3 มั้ง ผมก็เลยได้อยู่โปรเจ็กต์ดี ๆ เป็นโปรเจ็กต์ online deposit รุ่นพี่เห็นผมสอบได้คะแนนดี ก็เอาโปรแกรมมาให้เขียน ผมเขียนไม่เป็นเลย แต่ logic เข้าใจหมดนะ รุ่นพี่ก็งง ผมก็บอกพี่สอนผมเถอะ เขาก็สอน ข้อดีของผมคือผมอึด ใน 6 ปีที่ผมทำ ผมกล้าโม้เลยนะว่าผมเป็นโปรแกรมเมอร์ที่เก่งเกือบที่สุดในไทยพาณิชย์ เพราะทำเยอะ หามรุ่งหามค่ำ เป็นช่วงที่ผมโหยหาวิชามากเลย เพราะไม่ค่อยได้เรียน ปริญญาตรีนี่สำคัญ อย่าโดดเรียนแบบผม”

มาถึงความสำเร็จที่เอไอเอส ทำงานมา 20 ปี จากพนักงานจนขึ้นมาเป็นซีอีโอ เขาบอกว่าไม่มีเคล็ดลับอะไร มีหลักที่ยึดถืออยู่ 2 อย่าง คือ ขยัน และซื่อสัตย์

“ผมยังยืนยันเรื่องความขยัน ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสายงานไหน คุณต้องขยัน นอกจากขยันแล้วต้องมีความซื่อสัตย์ อันนี้สำคัญ เหมือนที่เขาพูดกันว่าคนเก่งหาไม่ยาก แต่คนเก่งและดีหายาก ซื่อสัตย์ก็คล้าย ๆ ดี ผมเชื่อว่าความซื่อสัตย์ มันทำให้ผมได้โอกาสเยอะ เพราะเวลาเขาจะย้ายผมไปไหน เขาก็วางใจได้ว่าไอ้นี่มันไม่โกง พอเขามั่นใจว่าไม่โกง เขาก็จะให้โอกาส”

คนรุ่นใหม่อาจจะไม่ได้มีแนวคิดในเรื่องการทุ่มเททำงานหนักและซื่อสัตย์จงรักภักดีกับองค์กรเหมือนคนยุคก่อนแล้ว อย่างที่เห็นเทรนด์ “ไม่อยากเป็นมนุษย์เงินเดือน” หรือ “อยากเป็นเจ้านายตัวเอง”

ประเด็นนี้ ซีอีโอเอไอเอสแสดงความเห็นว่า “ผมยังเชื่อมั่นใน 2 อันนี้นะ เพราะว่าอะไร สมมุติเด็กรุ่นใหม่โตเร็ว อายุ 30 ต้นมีเงินเป็น 100 ล้าน แล้วยังไง คือชีวิตมันมีมากกว่าเงิน ผมอยู่เอไอเอส ถามว่าผมรวยไหม ผมมีตังค์ใช้เยอะ แต่ไม่ได้รวยแบบเพื่อนที่ออกไปทำธุรกิจ แต่เอไอเอสทำให้ผมมีสิ่งที่เขาไม่มี เช่น ผมมีโอกาสเจอคนใหญ่คนโตในประเทศเกือบหมดแล้ว ไม่ใช่เพราะเป็นผม แต่เพราะว่าตำแหน่งผม เพราะงานของเอไอเอส คนที่มีเงิน 500 ล้าน ยังไม่มีโอกาสอย่างนี้เลย นี่เป็นสิ่งที่ผมมองว่าเงินซื้อไม่ได้ เพราะฉะนั้นนอกจากเงินแล้ว ยังเป็นเรื่องโอกาสอื่น ๆ พอเราเป็น somebody หรือมี position ในสังคม เราสามารถทำอะไรในมุมอื่นที่เราอยากทำให้สังคมได้ บางคนมีเงินเป็น 1,000 ล้าน อาจจะทำอย่างเราไม่ได้”

พอใจกับชีวิตและมีความสุขกับหน้าที่การงานมากขนาดนี้ ถามว่ามีเป้าหมายในชีวิตอีกไหม เขาไม่รอช้า ตอบออกมาทันทีว่า “แต่งงาน คอนเฟิร์ม” จนทีมสัมภาษณ์ต้องถามย้ำอีกทีว่า “เอาแบบจริงจังที่เขียนได้ มีคนจะแต่งด้วยแล้วเหรอ” เรียกเสียงหัวเราะกันไป

“จริง ๆ ผมชัดเจนมากเลยนะ ผมตั้งใจจะเกษียณตอนอายุ 55 แต่ตอนนี้เข้า 56 แล้ว เนื่องจากว่าผมปั้นคนขึ้นมาไม่ทัน และงานที่ผมทำเพิ่งเสร็จแค่ครึ่งเดียว ผมเลยกะวางมือในอีก 3 ปีข้างหน้า ผมจะถอยออกให้คนใหม่มาแทน ผมไม่เสียดายอะไรเลย ครอบครัวสำคัญที่สุด เชื่อผม

นอกจากเป้าหมายอยากแต่งงานแล้วก็ยังมีแพลนกิจกรรมต่าง ๆ หลังเกษียณ แต่กว่าจะไปถึงวันเกษียณ เขายังมีภารกิจที่จะพาเอไอเอสก้าวไปสู่ความท้าทายใหม่ ๆ ในหลายด้าน ก็ไม่รู้ว่าถ้า 3 ปียังทำไม่สำเร็จ จะต่อเวลาออกไปอีกหรือเปล่า เพราะจากที่บอกว่า “ผมสนุกกับงาน ไลฟ์สไตล์คือการทำงาน” ฉะนั้นถ้าจะทำงานต่อไปก็คงสบาย ๆ