สาธารณสุขอาเซียนรวมพลังปั้น ‘แพลตฟอร์ม AIDP’ รับมือวัณโรค-โรคติดเชื้อทางอากาศ

มีรายงานจากองค์การอนามัยโลกถึงการกลับมาของหนึ่งในพาหะนำโรคติดเชื้อร้ายแรงอย่าง ‘วัณโรค’ โดยมีผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 8.2 ล้านคนในปี 2566 นับเป็นจำนวนผู้ป่วยสูงสุดนับตั้งแต่องค์การอนามัยโลกเริ่มติดตามสถานการณ์วัณโรคทั่วโลกในปี 2538 ซึ่งในประเทศไทยมีผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ 111,000 คน แต่ขึ้นทะเบียนรักษาเพียง 72,274 คน และเสียชีวิตจากโรคนี้ถึงปีละ 13,700 คน

โรคร้ายที่คัดกรองเร็ว-รักษาหายได้

เพราะวัณโรคสามารถรักษาหายได้ หากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็วและกินยาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น โจทย์ความท้าทายของประเทศไทยและกระทรวงสาธารณสุขก็คือ จะต้องนำผู้ป่วยติดเชื้อที่ไม่ได้ถูกค้นหาคัดกรองอีกกว่า 30,000 คนเข้าสู่ระบบให้เร็วที่สุด และดูแลรักษาให้หาย เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่คนรอบข้าง ส่งผลโดยตรงต่อการลดจำนวนผู้ป่วยวัณโรค ตามกลยุทธ์ที่ว่า ‘ค้นให้พบ จบด้วยหาย’

ปัจจัยหรือสาเหตุของการเป็นโรคนี้ ดร.ไกรสร โตทับเที่ยง ผู้อำนวยการกองวัณโรค กรมควบคุมโรค อธิบายว่า เป็นโรคที่ติดต่อทางเดินหายใจ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย หากมีการพูดคุยในสถานที่ปิด อากาศถ่ายเทไม่ดี แล้วมีผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รับการรักษา ไอหรือจามไม่ปิดปาก ทำให้เกิดละอองฝอยของเชื้อวัณโรคลอยอยู่ในอากาศ ก็จะมีโอกาสนำเชื้อนี้เข้าสู่ร่างกายได้

“แต่เชื้อวัณโรคก็เหมือนเชื้อโรคทั่วไปที่ร่างกายเราสามารถกำจัดได้ ไม่ใช่รับเชื้อแล้วจะต้องป่วยทันที มีประมาณ 10% ที่จะมีโอกาสป่วยและอาจเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน เช่น ผู้ที่กำลังอยู่ในภาวะอ่อนเพลีย มีโรคประจำตัวเบาหวาน ไตวายเรื้อรัง หรือมีพฤติกรรมดื่มเหล้าสูบบุหรี่จัด”

ADVERTISMENT

แนวทางการควบคุมป้องกันโรคฮอตฮิตติดต่อทางเดินหายใจนั้น ดร.ไกรสร ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ป้องกันได้ มีเพียงการฉีดวัคซีน BCG ให้เด็กแรกเกิดเพื่อป้องกันเด็กเล็กไม่ให้เป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อวัณโรค

ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจึงมีการรณรงค์ให้ความรู้ประชาชนว่า อาการแบบไหนที่ควรตรวจคัดกรองวัณโรค เช่น ไอติดกันหลายวัน อ่อนเพลียหรือน้ำหนักลดโดยไม่รู้สาเหตุ กลางคืนนอนแล้วเหงื่อออก หรือหากไอเป็นเลือดหมายถึงอาการเยอะ ผู้ป่วยแพร่เชื้อได้ จะต้องนำสมาชิกในบ้านมาตรวจหาเชื้อด้วย เพื่อให้รักษาวัณโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ADVERTISMENT

“วิธีการคัดกรองหรือตรวจวินิจฉัยโรคที่เร็วที่สุดในปัจจุบันเป็นการเอ็กซ์เรย์ปอด เพราะหากเป็นแล้วแต่อาการยังไม่ออก ในปอดจะมีแผลเล็กๆ ก่อน จากนั้นนำเสมหะตรวจหาเชื้อวัณโรค ถ้าเจอแล้วรีบรักษาก็จะหายได้เร็ว”

สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับการคัดกรองโรคและเอกซ์เรย์ปอดปีละ 1 ครั้ง เช่น คนอายุ 60 ปีขึ้นไป คนที่มีโรคประจำตัวอย่างเบาหวาน เพราะมีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือคนที่ต้องอยู่ในสถานที่แออัดอย่างเรือนจำ แม้แต่สถานที่ทำงานที่ทำให้มีโอกาสสัมผัสกับคนจำนวนมาก ฯลฯ ซึ่งเป็นการคัดกรองการติดเชื้อวัณโรคในระยะแฝง สำหรับคนมีเชื้ออยู่ในตัว แต่ร่างกายยังไม่เจ็บป่วย ไม่แพร่เชื้อ กลุ่มนี้หากตรวจเจอก่อนก็สามารถรักษาโดยการควบคุมการแบ่งตัวของเชื้อ ลดความเสี่ยงที่โรคจะเข้าสู่ระยะแสดงอาการและป่วยรุนแรงกว่านี้

นอกจากภาวะแทรกซ้อนจนทำให้ผู้ป่วยวัณโรคมีโอกาสเสียชีวิตได้นั้น การรักษาวัณโรคยังจำเป็นต้องใช้ยาแรงร่วมกันหลายตัว ทำให้เกิดผลข้างเคียงตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงเป็นอันตรายได้ในผู้ป่วยบางราย และต้องกินยาเป็นเวลา 6 เดือน ดังนั้น ปัจจัยสำคัญที่สุดในการรับการรักษาคือ ผู้ป่วยต้องให้ความร่วมมือในการกินยาอย่างต่อเนื่อง เพราะหากหยุดยาเอง จะทำให้เชื้อวัณโรคทนต่อยาที่เคยรักษา ตามมาด้วยการดื้อยา และส่งผลต่อการรักษาโรคได้

‘AIDP’ เตรียมพร้อมรับมือโรคระบาดชาติอาเซียน

ในรายงานวัณโรคโลกประจำปี 2023 ประเมินว่า มีประชากรอาเซียนกว่า 2.4 ล้านคนติดเชื้อวัณโรค โดยมีอินโดนีเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม อยู่ในบัญชีขององค์การอนามัยโลกในฐานะประเทศที่มีภาระด้านวัณโรคสูง ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้ต้องนำบุคลากรและทรัพยากรของโครงการด้านวัณโรคไปใช้จัดการปัญหามหันตภัยไวรัสร้าย

เป็นที่มาของการพัฒนาแพลตฟอร์มป้องกันการติดเชื้อแบบแพร่กระจายทางอากาศ (Airborne Infection Defense Platform) หรือ ‘AIDP’ ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนสิงหาคม 2567 ในการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนครั้งที่ 16 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

แพลตฟอร์มนี้จะมุ่งเสริมสร้างการรับมือการระบาดของวัณโรคระดับพื้นที่ของแต่ละประเทศอาเซียน รวมถึงชุมชนและการดูแลปฐมภูมิ โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขที่มีอยู่มาปรับปรุงเพื่อตรวจหาโรค รักษา ป้องกัน และจะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น นำเครื่องเอกซเรย์ดิจิทัลแบบพกพาสำหรับตรวจสอบโรคในพื้นที่ระดับท้องถิ่น ทำให้ไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล เครื่องมือเฝ้าระวังดิจิทัลแบบเรียลไทม์ ฯลฯ ที่นอกจากจะเตรียมพร้อมสำหรับวัณโรคแล้ว ยังรวมถึงโรคติดเชื้อทางอากาศซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคระบาดในอนาคต

ดร.ไกรสร ให้ความเห็นถึงแพลตฟอร์ม AIDP ว่า เป็นกระบวนการหนึ่งของประชาคมโลกที่ใช้การแลกเปลี่ยนข้อมูลจากองค์ความรู้และประสบการณ์ในหลายๆ ประเทศ มีประโยชน์ในการจัดการโรคที่เป็นปัญหาเดียวกัน โดยเฉพาะวัณโรคที่ทุกประเทศในอาเซียนกำลังเผชิญยกเว้นสิงคโปร์

วิธีการจัดการกับปัญหาวัณโรคของประเทศในอาเซียนทั้งหมด หากมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันผ่านแพลตฟอร์มนี้ ทบทวนข้อมูลร่วมกัน เป็นโอกาสที่ดีของการที่ไทยจะได้เรียนรู้ความก้าวหน้าและเทคโนโลยีจากประเทศเพื่อนบ้านรวมถึงประชาคมโลก เพื่อนำไปสู่เป้าหมายประเทศไทยปลอดวัณโรค

จัดการมลพิษทางอากาศ ลดปัจจัยเสี่ยงโรคร้าย

แม้วัณโรคจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่า ฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ที่นับวันก็ยิ่งส่งผลกระทบอย่างมหาศาล เป็นหนึ่งในปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้ที่มีเชื้อวัณโรคซ่อนอยู่ในร่างกายเกิดความอ่อนแอ จากระยะแฝงนำมาสู่ระยะแสดงอาการที่สามารถแพร่เชื้อได้

การจัดการมลพิษทางอากาศจึงนับเป็นส่วนสำคัญในการต่อสู้กับวัณโรคและโรคทางเดินหายใจ โดย พญ.ฉันทนา ผดุงทศ ผู้อำนวยการ กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ล่าสุด กรมควบคุมโรคมีการรายงานสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม-5 ธันวาคม 2567 พร้อมประกาศ 10 จังหวัดมีค่าเฉลี่ยฝุ่นเกินมาตรฐานของกรมควบตุมมลพิษ 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

รายงานดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM2.5 ของกระทรวงสาธารณสุข ด้วยการสื่อสารให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบสถานการณ์ รวมถึงให้ความรู้การลดมลพิษและการดูแลสุขภาพป้องกันตนเอง  โดยเฉพาะการย้ำเตือนกลุ่มเสี่ยงต้องระมัดระวังหากพบว่ามีค่าเฉลี่ยฝุ่นเกินมาตรฐาน

อีกมาตรการสำคัญเป็นบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข มีการจัดทีมปฏิบัติการดูแลสุขภาพกลุ่มเสี่ยงในชุมชน ขยายเครือข่ายคลินิกมลพิษ คลินิกมลพิษออนไลน์โดยนัดหมายผ่านไลน์หมอพร้อม สำหรับผู้ที่มีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก ไอ มีเสมหะตลอดเวลา หายใจหอบ หายใจเสียงดังหวีด มีผื่นผิวหนัง ระคายเคืองตา ตาแดง เจ็บหน้าอก และเหนื่อยมากต้องนั่งพักหรือจนทำงานไม่ได้ อาจเกิดจากฝุ่น PM2.5 โดยมีการนำร่องระบบดังกล่าวแล้วใน 4 เขตสุขภาพ 25 จังหวัด ได้แก่ เขตสุขภาพที่ 1, 2, 3 และ 8 และพร้อมขยายทั่วประเทศตามสถานการณ์

ที่ผ่านมากรมควบคุมโรคยังมีการเฝ้าระวังโรคจากการรับสัมผัสฝุ่น PM2.5 ผ่านระบบคลังข้อมูลสุขภาพ เช่น เมื่อมีผู้ป่วยทางเดินหายใจ แพทย์จะต้องซักประวัติเพิ่มมากขึ้น หากสงสัยว่าเป็นการเจ็บป่วยที่เกิดจากฝุ่น PM2.5 สามารถบันทึกโค้ดในระบบวินิจฉัยโรคได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วย 4 กลุ่มโรค ได้แก่ กลุ่มโรคทางเดินหายใจ กลุ่มโรคตาอักเสบ กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด และกลุ่มโรคผิวหนังอักเสบ

ทั้งแพลตฟอร์ม AIDP และการจัดการมลพิษทางอากาศภายใต้กรมควบคุมโรค  นับเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานเชิงรุกในด้านการแพทย์และสาธารณสุขของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ประชากรมีสุขภาพแข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดี