
เอไอเอสและกัลฟ์ ผนึกกำลัง สวพส. นำ “Green Energy Green Network for THAIs” เปิดโลกโอกาสให้ชุมชนห่างไกล ชูผลวิจัย SROI ชัดเจนทุก 1 บาทลงทุน สร้างผลตอบแทนทางสังคม 2.37 บาท ตอกย้ำ “งานวิจัยจะต้องจับต้องได้” สานฝันลดความเหลื่อมล้ำอย่างยั่งยืน
ในยุคที่ทั่วโลกและไทยต่างเผชิญกับความท้าทายอันซับซ้อน ทั้งจากสภาวะเศรษฐกิจผันผวนและสังคมสูงวัย การจะก้าวพ้นวิกฤตและสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยงานวิจัยและนวัตกรรมที่เป็นมากกว่าองค์ความรู้ในห้องแล็บ แต่ต้องเป็นเครื่องมือที่เข้าถึงและเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศได้อย่างแท้จริง
ดังที่ ฯพณฯ ศุภมาส อิศรภักดี รมว.อว. ได้เน้นย้ำถึงงานวิจัยที่ดีควรจะจับต้องได้ เข้าถึงทุกพื้นที่ เพื่อเป็นเครื่องมือพัฒนาประเทศ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของโครงการ “Green Energy Green Network for THAIs” ที่เป็นความร่วมมืออันแข็งแกร่งระหว่างบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ “เอไอเอส” และ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ “กัลฟ์” โดยมีสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. เป็นฟันเฟืองสำคัญ พร้อมนำความสำเร็จจากผลผลิตของชุมชนตัวอย่างในโครงการ ไปจัดแสดงในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568 (Thailand Research Expo 2025) “Research for All เชื่อมต่ออนาคตไทย ด้วยวิจัยและนวัตกรรม”
ตอกย้ำภาพความสำเร็จที่จับต้องได้
ทีมงานเอไอเอสเล่าที่มาของการทำงานวิจัย Social Return on Investment (SROI) มาใช้ประเมินผลตอบแทนทางสังคมอย่างเป็นรูปธรรมของโครงการ “Green Energy Green Network for THAIs” ว่า เมื่อพิจารณาถึงโครงการติดตั้งเสาสัญญาณและโซลาร์เซลล์ในพื้นที่ห่างไกลซึ่งเป็นโครงการระยะยาว จึงจำเป็นต้องมี SROI เพื่อประเมินผลลัพธ์ที่เป็นตัวเงินในทุกมิติของความยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
จากการนำร่อง 2 หมู่บ้านแรกในอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก คือ “บ้านมอโก้โพคี” และ “บ้านดอกไม้สด” ซึ่งเอไอเอสได้เข้าไปติดตั้งเสาและชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์จากไฟฟ้าและสัญญาณอินเทอร์เน็ตมาระยะหนึ่งแล้ว ผลการวิจัย SROI ชี้ชัดว่า จากการลงทุนกว่า 3.6 ล้านบาท ใน 2 หมู่บ้านนี้ สร้างผลลัพธ์ทางสังคมได้มากกว่า 8.6 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราส่วนผลตอบแทนทางสังคมที่ 2.37 บาท ต่อการลงทุน 1 บาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่พิสูจน์ถึงความคุ้มค่าและประโยชน์ที่เกิดขึ้นจริง
“ความมุ่งมั่นของเราคือ เมื่อผลลัพธ์งานวิจัยออกมาแล้ว จะทำให้เห็นว่าแต่ละหมู่บ้านต้องการอะไรอย่างเฉพาะเจาะจง ซึ่งจะกลายเป็นเข็มทิศในการพัฒนา ไม่ใช่การพัฒนาแบบเดียวกันทุกหมู่บ้าน แต่จะพยายามตอบโจทย์แต่ละหมู่บ้านจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น บ้านดอกไม้สด ผลการวิจัยบ่งชี้ว่าโดดเด่นในเรื่องของการศึกษา ควบคู่กับวิสัยทัศน์ของคุณครู การมีอินเทอร์เน็ตได้เปิดโอกาสให้เด็กๆ เรียนรู้ได้มากขึ้น และอาจนำไปสู่ผลการสอบ O-NET ที่ดีขึ้นในอนาคต”
สำหรับบ้านมอโก้โพคี จุดเด่นคือกาแฟ ด้วยการสนับสนุนจาก “กัลฟ์” ในการติดตั้งโรงสีกาแฟ ทำให้ชุมชนสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตกาแฟ ยกระดับราคา ลดขั้นตอนพ่อค้าคนกลาง นอกจากนี้ยังช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้ชุมชนปลูกกาแฟและดูแลป่าไปด้วย
“ในด้านสิ่งแวดล้อม แม้ชาวบ้านอาจยังขาดองค์ความรู้บางประการ แต่เมื่อมีไฟฟ้าและสัญญาณอินเทอร์เน็ต ก็เริ่มมีความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม เห็นได้ชัดจากการลดลงของ Hotspot (จุดความร้อน) ในพื้นที่อย่างน้อยกว่าครึ่ง แสดงให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตในการทำการเกษตรที่ดีขึ้น”
พลังงานสะอาด เชื่อมโยงคุณภาพชีวิตชุมชน
นายธนญ ตันติสุนทร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ เล่าถึงบทบาทสำคัญของกัลฟ์ในโครงการนี้ว่า จากประสบการณ์ในการทำโครงการ CSR ด้านพลังงานสะอาดในพื้นที่ห่างไกลที่ขาดแคลนไฟฟ้ามาก่อน ด้วยการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในจังหวัดตากและเชียงใหม่ เมื่อได้เป็นพาร์ทเนอร์กับเอไอเอส โครงการก็ยิ่งทวีประโยชน์ด้วยการนำเครือข่ายสัญญาณสื่อสารเข้ามาเสริม ทำให้เห็นได้ว่าพลังงานสะอาดไม่ใช่แค่เรื่องของไฟฟ้า แต่เชื่อมโยงถึงคุณภาพชีวิตของชุมชนโดยตรง
ทั้งนี้ กัลฟ์พิจารณาจาก Pain Point ของแต่ละชุมชนในการดำเนินการ อย่างเช่น ที่บ้านดอกไม้สด การมีไฟฟ้าทำให้พัฒนาระบบน้ำให้กับโรงเรียน และยกระดับสาธารณสุขขั้นพื้นฐานของชุมชนให้ดีขึ้น ขณะที่การเข้ามาของเอไอเอส ทำให้โลกของการสื่อสารเขยิบขึ้นไปอีกระดับ
สำหรับบ้านมอโก้โพคี ชุมชนมีการปลูกกาแฟใต้ผืนป่าอยู่แล้ว บทบาทของกัลฟ์คือการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์และสร้างโรงเรือนสีกาแฟให้ชุมชน ซึ่งช่วยให้สามารถปลูกกาแฟได้อย่างมีคุณภาพ และยกระดับราคาจากการขายเมล็ดกาแฟที่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการกระตุ้นการสร้างแรงบันดาลใจให้ชุมชนหันมาปลูกกาแฟและดูแลผืนป่าควบคู่กันไป
จุดประกาย “โปรเจกต์นางฟ้า” สู่ความเป็นจริง
นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และงานธุรกิจสัมพันธ์ เอไอเอส ย้อนถึงจุดเริ่มต้นของโครงการว่า ในปี 2020 ขณะที่ทั่วโลกเผชิญวิกฤตโควิด-19 เอไอเอสมีความฝันที่จะนำสัญญาณอินเทอร์เน็ตไปสู่ผู้คนในพื้นที่ห่างไกลที่แม้แต่ไฟฟ้าก็ยังเข้าไม่ถึง ซึ่งในเวลานั้น การติดตั้งเสาสัญญาณด้วยพลังงานโซลาร์เซลล์มีต้นทุนที่สูงมาก และไม่ตอบโจทย์ในเชิงพาณิชย์สำหรับเอไอเอส
“ตอนนั้นเราเรียกกันว่าเป็น “โปรเจกต์นางฟ้า” เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรเกิดขึ้นได้จริง เนื่องจากตัวเลขไม่ตอบโจทย์ กระทั่งปลายปี 2023 กัลฟ์ได้จุดประกายความฝันนี้ให้เป็นไปได้ ด้วยการนำพลังงานโซลาร์ไปติดตั้งที่บ้านดอกไม้สดและบ้านมอโก้โพคี จากนั้นเอไอเอสจึงได้พูดคุยกับกัลฟ์อย่างจริงจังเพื่อนำเสาสัญญาณเข้าไป และนำมาสู่ความร่วมมือที่เห็นผลในวันนี้”
ผู้บริหารเอไอเอสยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวัดผลโครงการว่า หากไม่มีการวัดผลหรือประเมินผล ก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่าโครงการประสบความสำเร็จหรือไม่ เอไอเอสได้นำหลัก PDCA (Plan-Do-Check-Act หรือวางแผน-ปฏิบัติ-ตรวจสอบ-ปรับปรุง) มาใช้ในการดำเนินงาน พร้อมกับการประยุกต์แผนให้เข้ากับลักษณะของแต่ละหมู่บ้าน โดยยึดหลักวิชาการเป็นสำคัญ
การวัดผลในมิติของเศรษฐกิจ ได้จากการขายผลผลิตที่เพิ่มขึ้น, มิติของสังคม โรงเรียนและนักเรียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น คุณครูไม่ต้องเสียเวลาเดินทางเพื่อรับข้อมูลหรือส่งงาน ใช้เวลาในการพัฒนาตัวเองผ่านห้องสมุดดิจิทัลที่เอไอเอสนำเข้าไป ด้านสาธารณสุข ชุมชนสามารถเข้าถึงโรงพยาบาลได้ง่ายขึ้น และสุดท้ายด้านสิ่งแวดล้อม พฤติกรรมและวิถีของชาวบ้านมีการปรับเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
“ผลวิจัยในปีแรกจะเป็นหมุดหมายหรือเข็มทิศให้เอไอเอส กัลฟ์ และ สวพส. นำทางในการขยายไปยังชุมชนต่างๆ ต่อไป หรือจุดไหนที่จะกระตุ้นได้อย่างดี เช่น เรื่องการค้าขายที่ช่วยลดบทบาทพ่อค้าคนกลางได้ ซึ่งเอไอเอสยังคาดหวังว่า โครงการ Green Energy Green Network for THAIs จะสร้างแรงบันดาลใจให้องค์กรต่างๆ ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ ได้สร้างสรรค์โครงการเพื่อคนไทยอย่างครบวงจรและเป็นรูปธรรม จากจุดเริ่มต้นที่เป็น “โปรเจกต์นางฟ้า” สู่ “งานวิทยาศาสตร์” ที่จับต้องได้จริง”
ฟันเฟืองสำคัญ สานต่อพระราชภารกิจ
ดร.เพชรดา อยู่สุข รองผู้อำนวยการด้านบริหารจัดการ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) เล่าถึงภารกิจของ สวพส. ว่า ก่อตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนงานของมูลนิธิโครงการหลวง เพื่อขยายผลความสำเร็จไปสู่พื้นที่สูงอื่นๆ ทั่วประเทศ
“สวพส. มีภารกิจในการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องบนพื้นที่สูง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าและชาติพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานพบว่าครึ่งหนึ่งของ 4,200 กลุ่มบ้านบนพื้นที่สูง ยังไม่มีไฟฟ้า จึงแทบไม่ต้องพูดถึงสัญญาณโทรศัพท์”
การทำงานของ สวพส. ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการเกษตร ตลาด การศึกษา และสุขภาพ โดยเน้นให้ชาวบ้านอยู่ร่วมกับทรัพยากรของชาติได้อย่างยั่งยืน สำหรับความร่วมมือในโครงการ สวพส. ได้ให้ข้อมูลพร้อมจัดลำดับความสำคัญพื้นที่ที่มีความต้องการสัญญาณกับเอไอเอส มีการขออนุญาตใช้ประโยชน์พื้นที่จากกรมป่าไม้และกรมอุทยานฯ อย่างถูกต้อง เพื่อให้การติดตั้งเสาสัญญาณเป็นไปอย่างถูกกฎหมายและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
“โครงการเริ่มต้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ในปี 2567 มีการดำเนินการใน 6 กลุ่มบ้าน รวมถึงบ้านดอกไม้สดและบ้านมอโก้โพคี และในปี 2568 มีอีก 6 กลุ่มบ้านในแม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่การเดินทางค่อนข้างทุรกันดาร การมีเสาสัญญาณทำให้การทำงานของนักส่งเสริมง่ายขึ้น โดยเฉพาะในการติดตามงาน และพบว่าในช่วงปีที่ผ่านมา Hotspot ในพื้นที่ที่ติดตั้งเสาลดลงกว่าครึ่ง แสดงให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำการเกษตรของชาวบ้าน
ความสำเร็จอย่างชัดเจนของโครงการ “Green Energy Green Network for THAIs” จากการวัดผลด้วย SROI ได้นำมาถ่ายทอดในหัวข้อพูดคุย “มุมมองเชิงลึกผ่านเลนส์งานวิจัย : จากข้อมูลสู่การเปลี่ยนแปลง และความร่วมมือเพื่อการลดความเหลื่อมล้ำอย่างยั่งยืน” ในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568 และสะท้อนถึงความร่วมมือที่แข็งแกร่งของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ที่ช่วยสร้างโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการลดความเหลื่อมล้ำอย่างยั่งยืน
#GreenEnergyGreenNetworkforTHAIs #AIS #Gulf #สวพส