เส้นทางหมื่นลี้ของ “แจ็ค หม่า” สตาร์ทธุรกิจจากเงิน “ญาติ – เพื่อน”

ปรากฏการณ์ “แจ็ค หม่า” เยือนเมืองไทย เข้าทำเนียบรัฐบาลพบ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมลงนาม MOU กับ 4 ฉบับ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมการค้าออนไลน์ในเมืองไทย

“แจ็ค หม่า” ประกาศด้วยความมั่นใจว่า  หากความร่วมมือกันครั้งนี้สำเร็จ จะ win win win ทั้งประชาชน ประเทศไทย และอาลีบาบา

ทว่า…กว่าจะถึงวันนี้ วันที่ตัวเขา “แจ็ค หม่า” กลายเป็นมหาเศรษฐี บริษัทของเขาเป็นที่ต้องการจากนานาประเทศให้เข้าไปลงทุน

เส้นทางธุรกิจเขาต้องเดินทางไกลหลายหมื่นลี้ มากกว่าเดินข้ามกำแพงเมืองจีน ต้องออกไปเดินย่ำตลาด เคาะประตูบ้าน เพื่อ “ขายสินค้า” ของเขาที่ใช้ “อินเตอร์เน็ต” เป็นตัวขับเคลื่อน

ทั้งที่คนจีนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร…. ต่อไปนี้คือการเดินทางของ “แจ็ค หม่า”

ตกหลุมรักอินเตอร์เน็ต

จุดเริ่มต้นของอาลีบาบาเกิดขึ้นใน ปี 1995 ที่ซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา หลังจาก “แจ็ค หม่า” ครูสอนภาษาอังกฤษจากวิทยาลัยแห่งหนึ่งในหังโจว ประเทศจีน และเจ้าของสำนักแปลภาษาไห่โป๋ที่อยู่ในเมือง ได้รับภารกิจพิเศษให้ไปปฏิบัติหน้าที่ “ล่าม” ให้กับทางการที่กำลังเผชิญปัญหาพิพาทเรื่องการสร้างซุปเปอร์ไฮเวย์ระหว่างมณฑลเจ้อเจียงกับนักธุรกิจสัญชาติอเมริกัน

หลังจากงานจบในตัวเขาเหลือตังค์แค่ 25 เซนต์ ไม่พอแม้แต่จะซื้อตั๋วเครื่องบินกลับมาตุภูมิ

แจ็ค หม่า วัดดวงด้วยควัก 25 เซ็นต์สุดท้ายในกระเป๋าหยอดลงตู้สล็อตแมชชีน

จาก 25 เซ็นต์ ก็เปลี่ยนเป็น 600 เหรียญ ในพริบตา!

แต่แจ็ค หม่า ไม่กลับบ้าน….

เขากำเงิน 600 เหรียญ เปลี่ยนเป็นตั๋วเครื่องบิน แวะหาเพื่อนชื่อ “แซม” อยู่ที่ซีแอตเทิล ซึ่งชวนให้เขาไปดู “อินเตอร์เน็ต”

นาทีแรกที่เห็น “อินเตอร์เน็ต” ปรากฏอยู่ในคอมพิวเตอร์มีโลโก้ Yahoo ในหน้าเว็บ เขาไม่กล้าแม้แต่จะแตะเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวนั้น

แซมบอกให้เขาลองกดดู แต่เขากลับตอบว่า…….

“เจ้าสิ่งนี้ (คอมพิวเตอร์) คงแพงน่าดู ผมไม่กล้าแตะเดี๋ยวเสียขึ้นมาคงจ่ายไม่ไหว”

แซมจึงกล่าวว่า “วางใจเถอะ ไม่เป็นไรหรอก คอมพิวเตอร์นะไม่ใช่ลูกระเบิด”

แล้วเขาก็กด…

Beer คือคำ คำแรกของ “แจ๊ค หม่า” ที่เขาค้นหาจาก Yahoo

คำว่า Beer ปรากฏขึ้นมากมายบนจอคอมพิวเตอร์ แต่พอค้นคำว่า China

ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ “No data”

เขาทั้งตกใจ ทั้งผิดหวัง และไม่เชื่อสายตาว่าในอินเตอร์เน็ตจะไม่มีคำว่า China

แล้ว “แจ็ค หม่า” จึงถามแซมว่าถ้าจะยกสำนักแปลภาษาของเขามาไว้ในอินเตอร์เน็ตได้หรือไม่… แซมไม่ปฏิเสธและทำให้ทันที

ก่อนบินกลับจีน แซมได้ยกสำนักแปลภาษาของเขามาไว้ในโลกอินเตอร์เน็ตเรียบร้อย แถมยังสมัครอีเมล์ให้ “แจ็ค หม่า” เป็นของแถม

เมื่อถึงเมืองจีน “แจ็ค หม่า” ลองเปิดอีเมล์ดูแล้วพบว่า มีจดหมายส่งมาถึงเขา

“นี่เป็นครั้งแรกที่พบเว็บไซต์บริษัทจีน พวกคุณอยู่ที่ไหน เราอยากทำธุรกิจกับพวกคุณ”

ทุบกระปุกเริ่มต้นธุรกิจ

ตอนนั้น “แจ็ค หม่า” รู้จักอินเตอร์เน็ต แต่คนจีนทั้งประเทศยังไม่รู้จักมัน

หลังบินกลับมาจากซีแอตเทิล เขาเรียกเพื่อนสนิท 24 คน มาที่อาพาร์ทเมนท์ พร่ำบอกสรรพคุณอินเตอร์เน็ตให้เพื่อนฟัง แต่ไม่มีใครฟัง

มีเพียง 1 คนเท่านั้นที่ โอเค…กับความคิดของ “แจ็ค หม่า”

“เหออีปิง” เพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยของเขาบอกว่า ลองดู……. 7 วันผ่านไป เขาทุบกระปุกเงินเก็บทั้งหมด 6 พันหยวน แล้วขอยืมเงินจากเพื่อน และ ญาติ เบ็ดเสร็จได้ 1 แสนหยวน คือเงินลงทุน “ก้อนแรก” ที่ต่อมาทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีเบอร์ 20 ของโลก มีทรัพย์สิน 39,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ธุรกิจแรกที่เขาจับคือ “สมุดหน้าเหลืองออนไลน์” ที่มีชื่อว่า “ไชน่าเพจ” เริ่มวันที่ 9 พฤษภาคม 1995 ใช้ห้องพักเป็นสำนักงาน มีคอมพิวเตอร์แค่เครื่องเดียวที่เขาหิ้วกลับมาจากอเมริกา!!!!

เงิน 1 แสนหยวน ถูกใช้ไปเหมือนกระดาษที่ถูกเผา ไม่นานก็เหลือเงินสดแค่ 200 หยวน แต่ “แจ็ค หม่า” ไม่ยอมแพ้ กลุ่มลูกค้ารายแรกๆ เป็นคนแวดล้อมรอบตัว ทั้งเพื่อน  ทั้งญาติ ที่ทำธุรกิจ เขาให้ใช้บริการฟรี

มีเพื่อนบางคนให้ตังค์เขาพอเป็นพิธี แต่ก็ต่อลมหายใจให้ธุรกิจได้ แม้จ่ายเพียง 6 พันหยวน

เซลแมนขายไชน่าเพจ ใน “แผงลอย”

เมื่อเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต แต่ไม่มีใครรู้จักอินเตอร์เน็ต…. แล้ว “แจ็ค หม่า” จะทำยังไง

เขาเป็นคนประเภท “พูดเก่ง” เลยใช้วิธีการตลาดแบบ โคตรฮาร์ดเซล คือ เคาะประตูไปขายของทีละบ้าน จากหลังหนึ่ง ไปอีกหลัง ลามเข้าสู่แผงลอยบนถนน พูดจาอธิบายให้คนเข้าใจธุรกิจแนวใหม่

จากบ้าน มาสู่ตลาด จากตลาด ย้ายจากหังโจวเข้ามาผูกมิตรกับนักข่าวในปักกิ่ง จากนักข่าวสู่นักธุรกิจเงินถุงเงินถัง

ลองนึกดูสิว่า มหาเศรษฐีอย่าง “แจ็ค หม่า” ก่อนรวยล้นเหลือ ต้องบุกบ้าน บุกตลาดไปกี่มากน้อย..ต้องป่าวประกาศข้อดีของอินเตอร์เน็ตกับนักข่าว นักธุรกิจกี่ร้อยกี่พันคน

เพื่อขายสิ่งที่เรียกว่า Yahoo ประเทศจีน ในปี 1999 เขาจึงสร้าง อี-คอมเมิร์ซขึ้นมาโดยใช้ชื่อ “อาลีบาบา”

ก่อนจะได้เป็น “แขกธุรกิจ” ของรัฐบาลไทย ในอีก 20 ปีต่อมา ได้เช็คแฮนด์กับผู้นำมหาอำนาจโลกอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ พาธุรกิจไปโรดโชว์มาแล้วทุกทวีป ไม่เว้นทวีปแอฟริกา

“ไช่ฉงชิ่น” ผู้ปิดทองหลัง อาลีบาบา

“แจ็ค หม่า” อาจไม่ใช่ “แจ็ค หม่า” ในวันนี้ หากไม่มีส่วนผสมของลูกน้องคู่คิด หุ้นส่วนสำคัญของอาลีบาบา ชายคนนี้เป็นผู้ “ตั้งกฎเหล็ก” คือ “ปฏิวัติธุรกิจทุกๆ 10 ปี”

“ไช่ฉงชิ่น” หรือ อีกชื่อที่โลกรู้จักคือ Joseph Tsai – โจเซฟ ไซ

อาจกล่าวได้ว่า ในอาลีบาบา “ไช่ฉงชิ่น” เขาคือเบอร์สอง ชายคนนี้เกิดที่ใต้หวัน โตในครอบครัวฐานะดี พ่อเป็นนักกฎหมายชื่อดัง ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในอเมริกา

เรียนจบเศรษฐศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยเยล จึงทำให้มีความรู้ทั้งเศรษฐศาสตร์และกฎหมาย ก่อนมาทำงานกับ “แจ็ค หม่า” เขาเป็นผู้บริหารบริษัทการเงินที่ฮ่องกง มีรายได้กว่า 3 ล้านบาทต่อเดือน

จู่ๆ เขาก็ได้รับสายโทรศัพท์จากเพื่อนชาวใต้หวัน ชวนให้ไปพบ “แจ็ค หม่า”

หลังจากเจอกัน 2 ครั้ง “แจ็ค หม่า” ชวน  “ไช่ฉงชิ่น”  มาทำงานด้วยกัน

เขาตกลง… ยอมลดเงินเดือน “นิดหน่อย” จาก 3 ล้านบาทที่เก่า มาอยู่ที่ใหม่ในบริษัทของ “แจ็ค หม่า” ซึ่งเขาได้เงินถึง 2,500 บาท…

อ่านไม่ผิด!! สอง – พัน – ห้า – ร้อย – บาท …

ไช่ฉงชิ่น บอกเหตุผลที่มาร่วมงานกับ “แจ็ค หม่า” เพราะเขาสัมผัสได้ถึงความเป็น “ผู้นำ” และความ “ไว้ใจ” ผู้อื่น แม้จะเจอหน้ากันแค่ 2 ครั้ง

อาจเป็นเพราะ “บุพเพสันนิวาส” ที่ทำให้ “ไช่ฉงชิ่น” เจอกับ “แจ็ค หม่า”

เขาเข้ามาทำในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการเงินของ “อาลีบาบา” กลายเป็น 1 ใน 18 ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา วันนี้เขาไม่ได้รับเงินเดือน 2,500 บาท

แต่ “ไช่ฉงชิ่น” คือผู้ถือหุ้นอันดับ 2 ของอาลีบาบา มีชื่อปรากฏอยู่ในนิตยสาร Forbes  ที่มหาเศรษฐีทั่วโลกต้องอ่าน

เพราะเขามีเงินรวมกันตอนนี้….300,000 ล้านบาท

สาม – แสน – ล้าน – บาท!!!!

ที่สำคัญเขาคือผู้ตั้งกฎปฏิวัติธุรกิจทุกๆ 10 ปี ที่เรียกว่า “กฎของการตั้งครรภ์ 10 ปี”

3 ปีแรก เริ่มจากสร้างสิ้นค้าหรือบริการให้คนชอบ

3-5 ปี เป็นช่วงหาโอกาสและรายได้

5-6 ปี ต้องหาโอกาสสร้างกำไร

เมื่อธุรกิจเดินมาครบ 10 ปี ต้องย้อนมองกลับไปจุดเดิมแล้วลงมือปฏิวัติตัวเอง

หาก “สตีฟ จ็อบส์” ศาสดาแอปเปิ้ลมี “สตีฟ วอซเนียก” ช่วยผลิตคอมพิวเตอร์แมคอินทอชรุ่นแรกๆ จนดังเป็นพลุแตก

มี “โจนาธาน ไอฟ์” ช่วยออกแบบหน้าตาไอโฟน ไอแพด จนกลายเป็นมือถือพลิกโลก จนแอปเปิ้ลมีเงินสดสำรองในบริษัทมากกว่าเงินคงคลังของรัฐบาลสหรัฐ

“ไช่ฉงชิ่น” ก็คือคนเบื้องหลังที่ช่วยปฏิวัติอาลีบาบาให้ก้องโลกในทุกวันนี้

ราชานักบู๊ – เพลงป็อป

หลังจากนำพาอาลีบาบาประสบความสำเร็จ “แจ็ค หม่า” ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัทอาลีบาบา ยังมีอีกโลกหนึ่งที่เราได้อาจได้เห็นปีละครั้ง… ซึ่งเขามักสร้างเซอร์ไพรส์ในให้กับพนักงานได้ตะลึงกลางงานเลี้ยงของอาลีบาบา

หากจำกันได้ “แจ็ค หม่า” เคยแปลงกลายเป็น “ไมเคิล แจ็คสัน” ราชาเพลงป็อบ เคยวาดลวดลายสุดพลิ้ว ในงานฉลองครบคอบ 18 ปี ที่ก่อตั้งอาลีบาบากรุ๊ป สร้างความอือฮาให้กับพนักงานเมื่อเขา สวมหน้ากากสีเงิน คาดเข็มขัดสีทอง ควบฮาร์เลย์ขึ้นมาบนเวที ก่อนจะโชว์ลีลา “ลูบเป้า” เต้นเพลง “Thriller” มาแล้ว

“แจ็ค หม่า” ไม่ได้แค่เต้น แต่ยังสวมบทเป็นพระเอกหนังเรื่อง Gong Shou Dao ( GSD ) (功守道) (กงโฉ่วต้าว) ซึ่งแปลว่า วิถีกังฟู  มี “เจ็ท ลี” รับหน้าที่ โปรดิวเซอร์ หรือผู้อำนวยการสร้าง คับคั่งด้วยดาราดังมากมาย อาทิ หยวน วูปิง หง จิน เป่า

หนึ่งในนั้นมี “โทนี จา” หรือ “จา พนม” นักแสดงจากเมืองไทยรวมอยู่ในหนังเรื่องนี้ด้วย  ในช่วงท้ายของ  Official Trailer ยังมีดาราดังอย่าง “เจสัน สเตธัม” แห่ง Fast & Furious แม้แต่ “แมนนี่ ปาเกียว” นักมวยชื่อก้องโลกอัดคลิปข่มขู่ “แจ้ค หม่า” แบบเรียงตัว ทั้งนี้ หนังที่เขาเป็นพระเอกได้เปิดตัวในงานแถลงข่าว “2017 Tmall 11.11 Global Shopping Festival”

เขาอาจประสบความสำเร็จในทางธุรกิจ…. แต่ทางบันเทิงนั้น???

ที่มาคลิป youtube WebTVAsia และ Keen Zhang

ภาพจากทำเนียบรัฐบาล