
“คงกระพัน” ซีอีโอ ปตท. ขอเวลา 3 เดือนประกาศแผนการลงทุน 5 ปีใหม่ ปรับพอร์ตใหม่ “ไฮโดรคาร์บอน-non ไฮโดรคาร์บอน” ต้องวิเคราะห์ Value Chain รายธุรกิจอย่างเข้มข้น บริหารสินทรัพย์ที่มีอยู่มหาศาลภายใต้หลักการสำคัญ “Asset เบาตัว Return Investment” พร้อมติดสปีดรับเมกะเทรนด์ แง้มลงทุน “บลูไฮโดรเจนเพื่ออุตสาหกรรม” เดินหน้าเป้าหมายเพิ่มธุรกิจใหม่ 30% ในปี 2573 และ Net zero ปี 2050
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.อยู่ระหว่างการทบทวนแผนการลงทุน 5 ปีของ ปตท. ที่วางไว้ 8.9 หมื่นล้านบาท เพราะตอนนี้โลกเปลี่ยน หลายธุรกิจหลายอย่างยังทำต่อ แต่ว่าบางอย่างก็จะต้องมีการกลับมาทบทวนดูใหม่ (Revisit)
“ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำแผนกลยุทธ์ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม และก็จะมีการกำหนด Investment Plan ใหม่เป็นแผน 5 ปี ซึ่งจะออกมาในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม 2567 แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ ปตท.ต้องแข็งแรงไปกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน ซึ่งไม่ได้แปลว่า สิ่งแวดล้อม อย่างเดียว แต่หมายถึง ปตท.ต้องเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติที่มีความแข็งแรง เติบโตไปพร้อมกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม”
โดยธุรกิจใดที่ดีก็ต้องเร่งต่อยอดขยายผล ธุรกิจใดที่เคยดีแต่ไม่ Perform แล้ว ก็ต้องมีความกล้าที่จะออกมาอย่างชาญฉลาดและรวดเร็ว ซึ่งต้องมีข้อมูลที่ครบรอบด้าน รู้ว่า “อะไรดี หรือว่าอะไรไม่ดี” คิดให้ครบถ้วน ต้องใช้ Expert อะไรดีก็ต้องต่อยอดทำต่อ หรืออะไรที่ควรจะถอย ในช่วงหนึ่งโลกอาจจะเป็นแบบหนึ่ง ปริมาณและ Supply คู่แข่งก็มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงต้องมีการ “Revisit” อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ ปตท.จะมีการทบทวนแผนทุกปีอยู่แล้ว” ดร.คงกระพันกล่าว
เปิดวิสัยทัศน์
สำหรับวิสัยทัศน์ในการบริหารธุรกิจ ปตท. จะมี 4 ด้าน 1) บริหารธุรกิจแบบยั่งยืนในทุกมิติ ด้วยการสร้างสมดุล ESG ให้เหมาะกับบริบทองค์กร มุ่งเน้นสร้างความมั่นคงทางพลังงาน สร้างการเติบโตควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก GHG เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ตามเป้าหมายเดิมในปี 2050 โดยธุรกิจต้องมีกำไร แต่เป็นกำไรที่เหมาะสมและยั่งยืน ไม่เน้นกำไรระยะสั้น ต้องเป็นประโยชน์กับประเทศไทย ช่วยสังคมไทย SMEs และเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม
2) การลงทุนต้องเกิดประโยชน์ทั้งกับองค์กรและประเทศ ต้องมีความคล่องตัว (Agilty) ทันต่อสถานการณ์โลกที่ผันผวนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 3) สร้างความเชื่อมั่นให้ทุกภาคส่วน การทำธุรกิจและการบริหารจัดการต้องโปร่งใส ทำเรื่องบรรษัทภิบาลอย่างจริงจัง การสื่อสารต้องจริงใจ ชัดเจน เข้าถึงง่าย และเข้าใจง่าย และ 4) สร้างพลังความร่วมมือ ปตท. มีบุคลากรที่สร้างพลัง Synergy และใช้พลังในกลุ่ม ปตท. สร้าง Leverage หรือความสามารถในการลงทุนให้สูงขึ้น
ใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีอยู่
ปัจจุบัน ปตท.มีสินทรัพย์ (Asset) มาก แต่จะสร้างประโยชน์จากสินทรัพย์อย่างไรเพื่อให้ธุรกิจเติบโต โดยจะต้องมีการสร้าง “ธุรกิจตัวเบา” ที่มีเป้าหมายที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ขณะเดียวกัน ปตท.ก็จะต้องเน้นในเรื่องของการสร้างความโปร่งใส การมีธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการธุรกิจและสื่อสารทั้งภายในองค์กรต่อสังคม รวมถึงการสร้างความเข้าใจในการทำงานร่วมกับภาครัฐ มุ่งเน้นการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ ต่อองค์กร และต่อสังคม
“ที่สำคัญ ปตท.เป็นบริษัทที่มีความแข็งแรง มีบริษัทลูกจำนวนมาก ดังนั้นจะต้องมีการเชื่อมโยง (Synergy) บริษัทลูก สร้างประโยชน์ให้เกิดเป็นรูปธรรม โดยหลักการที่สำคัญก็คือ ‘Asset เบาตัว Return on Investment’ จะต้องมากขึ้น และมีการ Synergy ภายในบริษัท”
ปรับพอร์ตธุรกิจใหม่
นายคงกระพันกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจของ ปตท.จะแบ่งออกเป็น ธุรกิจไฮโดรคาร์บอน และน็อนไฮโดรคาร์บอน (ซึ่งเดิม ปตท.จะเรียกว่า ธุรกิจออยล์และน็อนออยล์) โดยยังคงยืนยันเป้าหมายที่จะเพิ่ม EBITDA ในส่วนของธุรกิจใหม่ให้ได้ 30% ในปี 2573
สำหรับธุรกิจไฮคาร์บอน ซึ่งประกอบไปด้วย ธุรกิจการแสวงหาแหล่งก๊าซ-แหล่งพลังงาน (E&P), ปิโตรเคมี และพลังงานไฟฟ้านั้น ในส่วนของธุรกิจ E&P จะเน้น 3 เรื่องก็คือ การดำเนินการต่อเนื่อง การสร้างความคุ้มค่าในการลงทุน เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และการลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization)
“ธุรกิจ E&P จะมี ปตท.สผ. เป็น Flagship จะมีการขยายการลงทุนไปยังประเทศต่าง ๆทั้งในตะวันออกกลาง สหรัฐ และประเทศใกล้เคียง สิ่งสำคัญที่จะต้องมีคือ การเลือก Partner ที่ดี มีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสร้างการเติบโตในพื้นที่ที่ถนัดและใหญ่พอ เช่น ถ้ามีการลงทุน 1 โครงการ จะต้องมี Substance ที่ดีด้วย”
ขณะที่ธุรกิจในกลุ่ม Upstream หลักการสำคัญคือ จะต้องมีการเพิ่มประสิทธิภาพทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำลง และจะต้องเดินหน้าเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานให้ไทย มีแหล่งพลังงานใหม่ ๆ ที่มีต้นทุนที่แข่งขันได้ และช่วยลด Decarbonization สำหรับธุรกิจก๊าซธรรมชาติ มุ่งจัดสร้างความแข็งแกร่ง นำ AI มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ปัจจุบันไทยมีก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย มีการนำเข้าจากเมียนมา และมีการนำเข้า LNG ซึ่งจำเป็นจะต้องช่วยกันหาแหล่งใหม่เพื่อเป็นทางเลือกที่จะสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงาน และจะต้องทำงานร่วมกับภาครัฐ
เพิ่มประสิทธิภาพ Downstream
ในส่วนของธุรกิจ Downstream ซึ่งจะประกอบไปด้วย ธุรกิจโรงกลั่น-ธุรกิจปิโตรเคมีนั้น ดร.คงกระพันมองว่า ในส่วนของธุรกิจโรงกลั่นยังพอไปได้ ธุรกิจปิโตรเคมีเป็นช่วงขาลง หลังจากที่จีนมีการผลิตปิโตรเคมีออกมาจำนวนมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ฉะนั้น ปตท.ต้องสร้างความแข็งแรงด้วยการลด Cost และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Efficiancy) โดยจะต้องมี Partner ที่ดี
OR ลงทุนต้องคุ้มค่า
นายคงกระพันกล่าวอีกว่า ในส่วนของธุรกิจค้าปลีก ซึ่งมี OR เป็น Flagship นั้น ปัจจุบัน OR มีจุดแข็งคือ มี Touch Point ที่มีความใกล้ชิดกับฐานลูกค้าจำนวนมาก เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไรที่จะให้ OR ใช้ประโยชน์จาก Ecosystem ที่มีอยู่ ในการสร้างความเข้าใจในตลาดในฐานลูกค้า
“ในส่วนของการลงทุน OR ควรจะต้องมีการลงทุนอะไรที่มีเนื้อมีหนัง หรือ Substance เพราะทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัด จะลงทุนอะไรที่มีซับสแตนซ์จะต้องมีประโยชน์ต่อตัวองค์กร ผลประกอบการ และต้องมีประโยชน์ต่อประเทศ เช่น การลงทุนเรื่องยานยนต์ไฟฟ้า (EV) หรือเรื่องทางการแพทย์ กำลังดูอยู่ หลักการคือจะต้องมี Asset Light และมีการใช้ประโยชน์จากจุดแข็งในด้าน Ecosystem ให้มากขึ้น”
น็อนไฮโดรคาร์บอนติดสปีด
อีกด้านหนึ่งคือ ธุรกิจที่ไม่ใช่ไฮโดรคาร์บอน ซึ่งจะหมายถึง EV Lifestyle Mobility ต่าง ๆ กลุ่มธุรกิจนี้จะมุ่งสนับสนุนให้มีการเดินหน้าเพื่อให้สอดคล้องกับ Mega Trands โดยธุรกิจใดที่สอดคล้องกับ Mega Trands ก็จะต้องเพิ่ม Speed และหลักการสำคัญคือ จะต้องทำธุรกิจที่ Decarbonization
“ธุรกิจน็อนไฮโดรคาร์บอน ตอนนี้จะต้องกลับมาดูวิเคราะห์ Value Chain ของธุรกิจที่ได้ลงทุนไปแล้ว อย่างเช่น Value Chain ของ EV, Value Chain ของ Healthcare และ Value Chain ของโลจิสติกส์ ว่าธุรกิจใดดีและยังคงดีอยู่ หรือธุรกิจใดที่เมื่อ 2-3 ปีก่อนอาจจะดี แต่ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว มีข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจตรงไหน ควรจะมีการดำเนินการต่อหรือไม่ มุ่งในธุรกิจที่วิเคราะห์แล้วว่าจะทำให้เกิดประโยชน์ และตัวเรามีจุดแข็งตรงไหน Value Chain ตรงไหนดี”
โดย CEO ปตท.เน้นย้ำว่า ปตท.จะมุ่งวิเคราะห์ธุรกิจที่ ปตท.มีจุดแข็ง มีความพร้อมใน Ecosystem Innovation และองค์ความรู้ เพื่อนำมาตัดสินใจในการพิจารณาปรับแผนธุรกิจต่อไป ปัจจุบันการ ดำเนินธุรกิจมาตามทิศทางเมกะเทรนด์ถูกต้องแล้ว แต่ยังมีบางอย่างที่จะต้องปรับปรุง โดยจะต้องมาวิเคราะห์ Value Chain ว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ต่อ ปตท. หรือว่ามีตรงจุดไหนที่จะต้องปรับ เช่น EV Logistics ต้องมาดูว่า น่าเล่นไหม แข่งขันได้หรือเปล่า และช่วยให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศด้วยหรือไม่ ขณะที่ธุรกิจดิจิทัลและ AI จะต้องขยายผลทั้งกลุ่ม เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจเดิม
ธุรกิจใหม่และโอกาส
เรื่องนี้จะมองไปที่ 2 เรื่อง คือ การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ โดยการปลูกต้นไม้ การกักเก็บคาร์บอน (CCS) ซึ่งขณะนี้มีบริษัทลูก ปตท.สผ. ได้ดำเนินการไปแล้ว การกักเก็บคาร์บอนสามารถทำได้ 2 อย่าง คือ การเก็บจากอากาศหรือการเก็บในขั้นตอนก่อนการปล่อยคาร์บอน นำมาเก็บไว้ในหลุมที่อาจจะอยู่บนพื้นดิน หรือว่าอยู่ใต้ทะเล ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้มีการใช้ในต่างประเทศแล้วในหลายประเทศ
เช่น สหรัฐ เริ่มมีการใช้ แต่ว่าในไทยยังมีต้นทุนในการกักเก็บสูงประมาณ 100 เหรียญสหรัฐ/ตัน “ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป” และจะต้องดูกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งในเรื่องนี้เราทำเพื่อสิ่งแวดล้อมและเพื่อประโยชน์ของประเทศด้วย
นอกจากเรื่องของการกักเก็บคาร์บอนแล้ว ปตท.อยู่ระหว่างการพิจารณานำ “ไฮโดรเจน” มาปรับใช้ในอุตสาหกรรม โดยอาจจะมีการลงทุน หากพิจารณาแล้วว่ามีความจำเป็นและเป็นประโยชน์ “ตอนนี้จะทำเรื่องบลูไฮโดรเจนควบคู่กับ CCS ปตท.กำลังศึกษาเพราะมีหลายประเทศที่สามารถทำได้ ทั้งสหรัฐ ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย ที่สามารถทำไฮโดรเจน และคุ้มค่ากับการลงทุน
ซึ่งเราจะเน้นการออกไปลงทุน อาจจะเป็นการลงทุนในประเทศระยะใกล้ อย่างเช่น ญี่ปุ่น หรือเกาหลี ที่มี Supply Chain ที่ทำให้เกิดประโยชน์กับประเทศ อาจจะค่อย ๆ ผสมเข้ามาในระบบของไฮโดรเจนอุตสาหกรรมเบื้องต้น 1-2% ส่วนที่เหลือจากภาคอุตสาหกรรมจะมีการขยายไปในส่วนของ Mobility