“อัยยวัฒน์” โชว์แผนคิง เพาเวอร์ ท้า “ลอตเต้” ชิงดิวตี้ฟรีสุวรรณภูมิ

น่าจับตามองอย่างยิ่ง สำหรับการเปิดประมูลโครงการพื้นที่สัญญาบริหารจัดการเชิงพาณิชย์ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิรอบใหม่ในช่วงปลายปี2560ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ “ทอท.” ได้ระบุว่าจะเปิดประมูลล่วงหน้าก่อนสัญญาที่มีกับกลุ่มบริษัท “คิง เพาเวอร์” จะสิ้นสุดลงในเดือนกันยายนปี 2563

และการเปิดประมูลรอบใหม่นี้ ทอท.จะเปิดประมูลทั้งสัญญาอนุญาตประกอบกิจการร้านค้าปลอดภาษี หรือ “ดิวตี้ฟรี” และเคาน์เตอร์ส่งมอบสินค้าดิวตี้ฟรี (Pick up Counter) ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทั้งพื้นที่เก่าในปัจจุบัน กับพื้นที่ใหม่ภายในอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (แซตเทลไลต์) และอาคารผู้โดยสารแห่งที่ 2 ของโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เฟส 2 ซึ่งมีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายนปี 2562

พร้อมตั้งเป้าว่า จะต้องรู้ผลว่าเอกชนรายใดจะเข้ามาจับจองสิทธิ์บริหารพื้นที่ภายในต้นปี 2561 นี้

พื้นที่-ทำเลทองแห่งนี้ กำลังถูกคู่แข่งซุ่มท้าชิงอยู่ในระยะประชิด “คิง เพาเวอร์” เตรียมตัวสู้ในสนามเดือดนี้อย่างไร

“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ไขคำตอบ พร้อมประเมินกำลังคู่แข่ง เผยแผนซุ่ม-แผนสู้ศึกรอบใหม่

“อัยยวัฒน์” เริ่มต้นเล่าว่า คงต้องรอให้ ทอท.เป็นฝ่ายบอกความชัดเจนว่าจะเริ่มประมูลอย่างไร และเมื่อไร เพราะคิง เพาเวอร์ยังไม่ทราบเกี่ยวกับรายละเอียดข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง (ทีโออาร์) ว่าเป็นแบบไหน

แต่ถ้าให้คาดการณ์เบื้องต้น การเปิดประมูลรอบใหม่ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิน่าจะเป็นในลักษณะเดียวกับการ เปิดประมูลพื้นที่ร้านค้าดิวตี้ฟรีในท่าอากาศยานภูเก็ตที่ผู้ชนะการประมูล สัมปทานพื้นที่ต้องให้บริษัทดิวตี้ฟรีเจ้าอื่นๆ ใช้เคาน์เตอร์ส่งมอบสินค้าดิวตี้ฟรีร่วมกัน (Common Use)

“อัยยวัฒน์” บอกว่า หากเป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ มองว่าสิ่งที่เจ้าของร้านค้าดิวตี้ฟรีแต่ละเจ้าจะงัดมาสู้กัน คงหนีไม่พ้นเรื่องของการทำตลาดและสร้างแบรนด์

“ในส่วนของคิง เพาเวอร์ เราก็อยู่ระหว่างเตรียมตัว และพร้อมที่จะเข้าไปประมูลอย่างเต็มที่แน่นอน และถ้าได้เราก็พร้อมสานต่อ และพร้อมปฏิบัติตามที่ทีโออาร์กำหนด ส่วนคู่แข่งก็น่าจะเป็นกลุ่มลอตเต้ เซ็นทรัล และเดอะมอลล์ ซึ่งเคยประมูลแข่งกันมาแล้ว”

สำหรับความคืบหน้าของการรีโนเวตร้านค้าดิวตี้ฟรีในเมือง (ดาวน์ทาวน์) สาขาใหญ่ที่ซอยรางน้ำของคิง เพาเวอร์ บนพื้นที่ 1.8 หมื่นตารางเมตร ซึ่งใช้งบฯลงทุนไปราว 2.5 พันล้านบาทนั้น “อัยยวัฒน์” บอกว่า เตรียมเปิดให้บริการในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ และจะมุ่งสู่ภาพลักษณ์การเป็นแหล่งช็อปปิ้งของนักท่องเที่ยวแบบครบวงจร

พร้อมเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ใหม่เพื่อขับเคลื่อนกระแสและดีมานด์โดยเฉพาะในกลุ่ม“นักท่องเที่ยวชาวจีน”ซึ่งปัจจุบันครองสัดส่วนสูงสุดถึง 40-50% รองลงมาคือลูกค้าชาวไทย มีสัดส่วน 15% ที่เหลือเป็นลูกค้าตลาดยุโรป และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งครองสัดส่วนใกล้เคียงกัน

นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มร้านค้าสินค้าระดับแบรนด์เนมที่ไม่เคยเปิดในดาวน์ทาวน์คอมเพล็กซ์มาก่อนอีกจำนวนหนี่ง อย่างเช่น Prada, Gucci, Valentino, Bottega Veneta เป็นต้น เพื่อเพิ่มความหลากหลายและเป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงลูกค้าเข้ามาจับจ่าย

นับเป็นสาขาดาวน์ทาวน์แห่งแรกในไทยที่มีร้านค้าระดับลักเซอรี่มาเปิด ซึ่งแต่ละแบรนด์เชื่อมั่นในศักยภาพของดาวน์ทาวน์สาขารางน้ำ โดยเฉพาะเรื่องกำลังซื้อของตลาดหลักอย่างนักท่องเที่ยวจีน

ไม่เพียงเท่านี้ ยังได้ขยายจำนวน “ร้านอาหารและเครื่องดื่ม” ให้มีมากขึ้น จากเดิมมีแค่ 1 ร้าน เพิ่มเป็น 5 ร้านใหญ่ และ 18 ร้านเล็ก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหารริมทางหรือ “สตรีตฟู้ด” เจ้าดัง อาทิ ผัดไทยประตูผี และเกาเหลารองเมือง

รวมทั้งเจรจากับร้านดังเจ้าอื่น ๆ อย่างสมบูรณ์โภชนา, นารา (ร้านอาหารไทย), เอลการ์โช่ และนันทสึเท ราเมน เข้ามาเติมสีสันเพื่อดึงนักท่องเที่ยวตลาดเป้าหมายอย่างกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยตัวเอง (เอฟไอที) ชาวจีน และชาติอื่น ๆ รวมถึงชาวไทยให้เข้ามาจับจ่ายซื้อสินค้าในสาขารางน้ำมากยิ่งขึ้น

พร้อมจัดพื้นที่ห้องรับรอง (เลานจ์) ลูกค้าเอฟไอทีชาวต่างชาติเพิ่ม รองรับการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์โลกที่นิยมเดินทางด้วยตัวเองมากขึ้น

อีกจุดที่สาขารางน้ำให้ความสำคัญมากขึ้นคือ“สินค้าไทย”โดยเตรียมนำเสนอวิดีโอบอกเล่า“สตอรี่” ของสินค้าไทย ณ จุดขายให้ลูกค้าเข้าใจความเป็นมามากขึ้น หลังคิง เพาเวอร์ได้สนับสนุนสินค้าไทยมาตลอด ครอบคลุมทั้งกลุ่มแฟชั่น อาหารและเครื่องดื่ม เวชภัณฑ์ และงานหัตถกรรม จนปัจจุบันมีสัดส่วน 12-13% ของยอดขายทั้งหมดในสนามบินและดาวน์ทาวน์ และมีอัตราการเติบโต 10-15% ต่อปี

“อัยยวัฒน์” ยังให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมรายได้ของคิง เพาเวอร์ด้วยว่า แม้ว่าปีที่แล้วจะได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงในช่วงไตรมาส 4 จากนโยบายการปราบปรามทัวร์ผิดกฎหมาย และคนไทยก็จับจ่ายใช้สอยน้อยลง แต่ในช่วงต้นปีนี้ รายได้กระเตื้องขึ้นมาเล็กน้อย เนื่องจากยอดนักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัว แม้จะยังไม่เต็ม 100% แต่ก็นับเป็นแนวโน้มที่ดีขึ้นมาก และยังเห็นการเติบโตดีของนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย เมียนมา และเวียดนามด้วย

“พอจีนออกนโยบายห้ามชาวจีนไปเที่ยวเกาหลีใต้ ไทยซึ่งเป็นจุดหมายทางเลือกอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวจีนจึงได้รับอานิสงส์จากเรื่องนี้”

“อัยยวัฒน์” ตบท้ายด้วยว่า จากแนวโน้มที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้คาดการณ์ว่าภาพรวมรายได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2560 น่าจะดีขึ้น ทั้งตลาดนักท่องเที่ยวจีนและไทย เพราะทุกอย่างนิ่ง เศรษฐกิจไปได้เรื่อย ๆ และไม่มีอะไรน่าห่วง…

ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat

ติดตามอ่านข่าวสารจากประชาชาติออนไลน์
ดาวน์โหลดผ่านแอปพลิเคชั่น >> Prachachat << ได้แล้ววันนี้