
สกนช.ลั่นจับตามติ กบง. ตรึงราคาแอลพีจีต่อ 1-2 เดือน ชี้การขยับราคาขายปลีกขึ้น ราคา 363 บาทต่อ 15 กก. ยังเป็นราคาที่เหมาะสม ย้ำต้องเป็นขั้นบันไดป้องกันลดผลกระทบผู้บริโภค
วันที่ 20 ธันวาคม 2564 นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง(สกนช.) เปิดเผยว่า ภายในวันที่ 23 ธ.ค. 2564 นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน เพื่อหารือถือแนวทางการอุดหนุนราคาก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) ที่เดิมตรึงไว้ 318 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม(กก.)
ซึ่งจะหมดอายุมาตรการในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ โดยอาจจะมีการพิจารณาแบ่งออกเป็น 2 แนวทางคือใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาตรึงราคาต่ออีก 1-2 เดือน หรืออาจจะต้องให้ราคาขายปลีกขยับขึ้นเป็นขั้นบันได้
ทั้งนี้ หลังจากที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ไม่อนุมัติการดำเนินการกู้เงินจาก พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท จำนวน 2,570 ล้านบาท นำมาใช้อุดหนุนราคาขายปลีกแอลพีจี เนื่องจากอาจจะผิดจุดประสงค์ทางกฎหมาย ทั้งนี้ทาง สกนช.ได้สะท้อนราคาไปยัง กบง. ว่าหากจำเป็นต้องมีการขยับราคาขายปลีกขึ้น ราคา 363 บาทต่อ 15 กก. ยังเป็นราคาที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นราคาเดิมที่เคยกำหนดขายก่อนหน้าที่จะมีการอุดหนุนให้เหลือ 318 บาท
อย่างไรก็ตาม หากจะมีการขยับขึ้นจริง ก็ควรจะขยับให้เป็นขั้นบันได ในระยะเวลาประมาณ 3-4 เดือน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภคและประชาชนชนผู้ใช้แก๊ส โดยอาจจะขยับขึ้นเดือนละ 1 บาทต่อแก๊ส 1 กก. จนกว่าจะถึงกำหนดที่ 363 บาทต่อ 15 กก. แต่ก็ต้องดูมติ กบง. ต่อไปว่าจะดำเนินไปในแนวทางใด
ส่วนสภาพคล่องของเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในเดือน ธ.ค. 64 มีการจ่ายเงินออกจำนวน 5,963 ล้านบาท แบ่งเป็นการจ่ายประเภทน้ำมัน 4,276 ล้านบาท ประเภทก๊าซแอลพีจี 1,687 ล้านบาท ส่งผลให้ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 19 ธ.ค. 64 มีฐานะกองทุนสุทธิติดลบ 3,072 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมัน 19,223 ล้านบาท บัญชีก๊าซแอลพีจีติดลบ 22,295 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ยังคงมีสภาพคล่องในการจ่ายเงินถึงแม้ว่าฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะติดลบก็ตาม
นอกจากนี้ สกนช.ได้กำหนดทิศทางการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในปี 2565 จะมุ่งเน้นแผนปฏิบัติงานที่สำคัญ 4 เรื่อง ได้แก่
1.การทบทวนแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งแผนดังกล่าวระบุให้มีการทบทวนแนวทางรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และหลักเกณฑ์การบริหารกองทุนน้ำมันฯ โดยจะนำตัวเลขด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องมาศึกษาทบทวนเพื่อกำหนดระดับราคาวิกฤตด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ตลอดจนทบทวนสถานการณ์ต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลก
2.ระบบติดตามและการเชื่อมโยงข้อมูลกรมสรรพสามิต และ สกนช. โดยจัดให้มีระบบฐานข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการเบิกจ่ายเงินชดเชยให้เกิดความรวดเร็วและถูกต้อง
3.การทบทวนแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2566 – 2670 ซึ่งแผนยุทธศาสตร์ฉบับใหม่จะมุ่งเน้นให้สอดคล้องแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการ การบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ
และ 4.แผนลดการชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งตามมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 ให้หยุดชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพภายใน 3 ปี และสามารถขยายเวลาการลดการชดเชยได้ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 ปี
แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และความเห็นของ สศช. ในการลดการชดเชยให้คำนึงถึงเกษตรกร สกนช.จึงได้หารือกับสมาคมผู้ผลิตไบโอดีเซลไทย และสมาคมการค้าผู้ผลิตเอทานอลไทย รวมถึงหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำแผนขอขยายการชดเชยโดยให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในปัจจุบัน