กองทุนหุ้น “สหรัฐ VS จีน” มุมมอง 4 กูรูส่องเทรนด์ครึ่งปีหลัง

กองทุนที่ร้อนแรงในปัจจุบันต้องยกให้กองทุนหุ้นของ 2 ประเทศมหาอำนาจ อย่าง “สหรัฐ” และ “จีน”

โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 ที่ผ่านมา ข้อมูลจากบริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด ชี้ว่า กองทุนหุ้นจีน (China Equity) ถือว่าโดดเด่น มีเงินไหลเข้ามากที่สุดเป็นอันดับ 1 รวม 7.1 หมื่นล้านบาท แต่ไตรมาสสองมีการชะลอตัวลงไปบ้าง

โดยมีเงินไหลเข้าราว 1.6 หมื่นล้านบาท จากไตรมาสแรกที่มีกว่า 5 หมื่นล้านบาท

ขณะที่กองทุนหุ้นทั่วโลก (Global Equity)ที่เน้นลงทุนในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว รวมถึงการลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา มีเงินไหลเข้ามากที่สุดรองจากกองทุนหุ้นจีน คืออยู่ที่ 5.1 หมื่นล้านบาท

“ชญานี จึงมานนท์” นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ฯ กล่าวว่า กองทุนหุ้นจีนกับกองทุนหุ้นทั่วโลกเป็นสองกลุ่มที่ทำเงินไหลเข้าได้มากที่สุดในรอบครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ขณะเดียวกันกองทุนหุ้นจีนและกองทุนหุ้นสหรัฐให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดี

โดยกองทุนหุ้นจีนให้ผลตอบแทนสูงสุดอยู่ที่ 20.5% ในช่วงครึ่งปีแรก และผลตอบแทน 34.9% ในช่วง 1 ปีย้อนหลัง ส่วนกองทุนหุ้นสหรัฐให้ผลตอบแทนสูงสุดอยู่ที่ 27.0% ในช่วงครึ่งปีแรก และ 53.9% ในช่วง 1 ปีย้อนหลัง (ดูตาราง)

“การลงทุนในตอนนี้อาจจะต้องระวังในเรื่องของเงินเฟ้อ เพราะว่าการที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาเยอะก็เป็นจุดที่ทำให้นักลงทุนจะต้องระวังตัวมากขึ้นและติดตามว่าจะปรับขึ้นไปได้สักแค่ไหน โดยแม้แต่ในสหรัฐเองที่เศรษฐกิจอาจจะยังไม่ได้กลับมาฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ แต่ว่าตลาดหุ้นก็ยังปรับตัวขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้านักลงทุนมีความระวังในส่วนนี้ก็อาจจะทำให้ชะลอลง”

ขณะที่จีนเองมีการชะลอตัวลงมาบ้างเช่นกันในช่วงผ่านมา โดยจะเรียกได้ว่าทั้งจีนและสหรัฐค่อนข้างที่จะคล้ายกัน แต่ก็ยังประเมินได้ยากว่าช่วงหลังจากนี้กลุ่มไหนจะมีเงินไหลเข้ามากกว่ากัน” นางสาวชญานีกล่าว

ขณะที่ “ชวินดา หาญรัตนกูล” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กองทุนหุ้นสหรัฐและกองทุนหุ้นจีนมีความโดดเด่นและแตกต่างกัน

โดยฝั่งสหรัฐมีน้ำหนักของตลาดหุ้นที่โดดเด่น กลุ่มหุ้นเทคโนโลยีก็ได้รับอานิสงส์จากสถานการณ์โควิด-19 และเติบโตค่อนข้างดี หากนักลงทุนเลือกลงทุนได้ถูกกลุ่ม (sector) การลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐก็ถือว่ายังดี แต่อาจจะยังมีความผันผวนอยู่บ้าง

“การลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐในกลุ่มเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค (consumer) หรือสุขภาพ (health) อาจจะมีการปรับตัวได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในระหว่างทางเน้นลงทุนระยะยาว (long term) ก็น่าจะดี

ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่าประเทศจีน ด้วยจำนวนประชากรที่เยอะ จีนเป็นประเทศที่เก่งในเรื่องของการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึงการควบคุมดูแลภายในประเทศได้เป็นอย่างดี

แต่ก็ยังมีปัญหาที่อาจจะทำให้เกิดความผันผวนของตลาดทุนในการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในเรื่องของนโยบายของจีนที่อาจจะทำให้เกิดการผันผวนได้เป็นช่วง ๆ ในระยะสั้น (short term) แต่ในระยะยาว (long term) ก็ยังเชื่อว่ากองทุนหุ้นจีนก็น่าสนใจ” นางสาวชวินดากล่าว

ฟาก “วศิน วณิชย์วรนันต์” ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า กองทุนหุ้นสหรัฐยังมีแนวโน้มโตต่อได้ แต่ก็อาจจะไปได้อย่างจำกัด ด้วยขนาดของตลาดที่ค่อนข้างใหญ่และการเติบโตของเศรษฐกิจที่ส่วนใหญ่ก็ได้รับประโยชน์จากการที่ประเทศเริ่มฟื้นตัวมากขึ้น

ส่วนกองทุนหุ้นจีนยังมีปัจจัยช่วงสั้นที่ยังเข้ามากระทบอยู่ ก็คือเรื่องของรัฐบาลจีนที่เข้ามาเข้มงวดกับกลุ่มบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีในการผูกขาดตลาดก็อาจจะทำให้บรรยากาศ (sentiment) ถูกกระทบกระเทือนไปบ้าง

“แต่ถ้ามองในระยะยาวตลาดหุ้นจีนก็ยังเป็นตลาดที่น่าสนใจ ซึ่งทั้งกองทุนหุ้นจีนและกองทุนหุ้นสหรัฐก็มีความน่าสนใจและมีปัจจัยที่แตกต่างกัน ก็จะแนะนำให้นักลงทุนลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง

ควรจะมีทั้งกองทุนหุ้นจีนและกองทุนหุ้นสหรัฐอยู่ในพอร์ต เพราะต่างก็มีความเสี่ยงและความผันผวนที่แตกต่างกัน แต่หากลงทุนในระยะยาว (long term) มองว่าการลงทุนในกองทุนหุ้นจีนยังเป็นกองทุนที่น่าสนใจ แต่ในระยะสั้น (short term) อาจจะต้องรอดูไปก่อน” นายวศินกล่าว

ด้าน “ชาคริต พืชพันธ์” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า กองทุนสหรัฐและกองทุนหุ้นจีนมีหลายกลุ่ม (sector) และมีความแตกต่างกันในส่วนของกองทุนหุ้นจีน

ในส่วนกลุ่มเทคโนโลยีก็ยังได้รับความน่าสนใจอยู่ โดยเศรษฐกิจจีนเริ่มมีการชะลอตัวลงมาบ้างในช่วงหลัง เนื่องจากบริษัทใหญ่ ๆ หลายแห่งได้รับผลกระทบจากทางรัฐบาลจีนที่เข้ามาควบคุมเข้มงวดมากขึ้น

ซึ่งเมื่อเทียบกับทางสหรัฐ การเติบโตของเศรษฐกิจค่อนข้างจะดีในช่วงที่ผ่านมา

“หากนักลงทุนจะเลือกลงทุนในกองทุนหุ้นจีนก็แนะนำให้เลือกลงทุน sectorที่ให้ผลตอบแทนที่ดีอาจจะเป็นในกลุ่มของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ยังเติบโตได้ดี แต่ในภาพรวมมองว่ากองทุนหุ้นสหรัฐอาจจะดูน่าสนใจมากกว่า

แต่จะบอกว่ากองทุนหุ้นจีนไม่น่าสนใจหรือมีความน่าสนใจน้อยกว่าฝั่งสหรัฐ ก็คงไม่ใช่เสียทีเดียว แต่ทางฝั่งสหรัฐเองยังมีเทรนด์ตลาดที่แข็งแกร่ง” นายชาคริตกล่าว

ส่วน “วรวรรณ ธาราภูมิ” ประธานกรรมการบริหาร บลจ.บัวหลวง กล่าวว่าทั้งกองทุนหุ้นจีนและกองทุนหุ้นสหรัฐน่าสนใจทั้งคู่ เพราะทางฝั่งสหรัฐ เศรษฐกิจก็กำลังฟื้นตัว ส่วนทางฝั่งจีนเองก็เช่นกัน

ซึ่งในส่วนปัจจัยลบพื้นฐานที่จะส่งผลกระทบต่อการลงทุน ยังคงเป็นเรื่องการระบาดของโควิด-19 ที่กระทบเศรษฐกิจ แต่หากดูเท่าที่ผ่านมา นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ได้มองที่ปัจจัยพื้นฐานของตลาดเป็นหลักมากเท่าสมัยก่อน แต่เน้นดูโอกาสระยะสั้นที่ดัชนีจะลดลง ซึ่งก็อาจจะเป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง

“แต่โดยภาพรวมก็ยังมองว่าทั้ง 2 กองทุนมีความน่าสนใจและแนะนำให้นักลงทุนแบ่งสัดส่วนลงทุนทั้ง 2 ประเทศจะดีที่สุด” นางวรวรรณกล่าว


ดูแล้วกองทุนหุ้นจีนและกองทุนหุ้นสหรัฐก็ยังคงโดดเด่น ซึ่งบรรดาผู้จัดการกองทุนต่างยังคงมองว่า ยังน่าลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังนี้