ผลประกอบการไตรมาสแรก”เอสซีจี”เพิ่มขึ้น 4% ชูดิจิทัลขับเคลื่อนนวัตกรรมเพิ่มมูลค่าสินค้า

ผลประกอบการเอสซีจีไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน เผยมุ่งใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนานวัตกรรม พร้อมนำเสนอโซลูชั่นสินค้าและบริการครบวงจร ตอบโจทย์ลูกค้าทั่วอาเซียน หวังเติบโตยิ่งขึ้น

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจีไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2561 มีรายได้จากการขาย 118,250 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับผลการดำเนินงานของเอสซีจีนอกเหนือจากประเทศไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2561

SCG มีรายได้จากการขายในภูมิภาคอาเซียนเท่ากับ 27,014 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23 จากยอดขายโดยรวม โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและมีรายได้จากการขายในภูมิภาคอื่นๆ 20,075 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17 จากยอดขายรวม

สินทรัพย์รวมของ SCG ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 มีมูลค่า 584,251 ล้านบาท โดยร้อยละ 24 คิดเป็นสินทรัพย์ในอาเซียน

ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ในปี 2561 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้

ธุรกิจเคมีคอล ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 มีรายได้จากการขาย 52,867 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อนแต่ลดลงร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสำหรับงวด 8,135 ล้านบาทลดลงร้อยละ 14 จากไตรมาสก่อนเลือดลดลงร้อยละ 38 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากปัจจัยเงินบาทแข็งค่าและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยและบริษัทรวมลดลง

ธุรกิจซีเมนต์ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 มีรายได้จากการขาย 46,461 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากไตรมาสก่อนและเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสำหรับงวด 2,484 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 138 จากไตรมาสก่อนและเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากสภาพตลาดที่ดีขึ้นตามฤดูกาลและการขยายตัวของการดำเนินงานในภูมิภาคอาเซียน

ธุรกิจแพคเกตจิ้ง ในไตรมาสที่1 ปี 2561 มีรายได้จากการขาย 21,981 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสำหรับงวด 1,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากตลาดเติบโตต่อเนื่องและผลจากการซื้อกิจการ ขณะที่ลดลงร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปีที่ผ่านมามีกำไรจากการขายสินทรัพย์

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า แม้จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งสภาพการแข่งขันที่รุนแรงทั้งในไทยและ ในภูมิภาค ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และค่าเงินบาทแข็งค่าที่เข้ามากระทบ อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2561 ของเอสซีจี ยังคงใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา จากความมุ่งมั่นสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่าสู่ลูกค้า (Passion for better) โดยเร่งผลักดันการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนานวัตกรรม พร้อมนำเสนอโซลูชั่นครบวงจร เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการเชิงลึกของลูกค้าทั่วอาเซียน

สำหรับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของเอสซีจีในช่วงที่ผ่านมา เช่น การเปิดตัว “แอปพลิเคชัน HOME BUDDY” ที่เป็นช่องทางออนไลน์สำหรับปรึกษาปัญหา ค้นหาช่างหรือวัสดุเพื่อสร้างหรือซ่อมบ้าน ซึ่งเชื่อมต่อกับ SCG Online Store และ Digital Payment Solution เช่น SCG Wallet เพื่อเพิ่มความสะดวกในการซื้อและชำระ ค่าสินค้า หรือ “การนำเทคโนโลยีดาวเทียมมาใช้สำหรับการออกแบบติดตั้งหลังคาให้ลูกค้า” และการเปิดตัว “หุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุ” โดย SCG Eldercare Solution ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าชมพร้อมนวัตกรรมอื่นๆ เกี่ยวกับบ้านได้ ใน “งานสถาปนิก’61” วันที่ 1-6 พ.ค. นี้ ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ส่วนโซลูชั่นใหม่ ๆ ที่เอสซีจีส่งมอบให้ลูกค้า เช่น “โซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ” (Floating Solar Solution) รายแรกของไทย หรือ “Total Packaging Solutions Provider” ที่ให้บริการครบวงจรตั้งแต่การออกแบบ การผลิต และการจัดเก็บบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ใช้แล้วมา Recycle รวมทั้ง “SCG Express” ที่เตรียมขยายจุดบริการรับส่งพัสดุให้ลูกค้า รายย่อยแบบ One-Stop Service ในสถานีบริการน้ำมันกว่า 100 แห่ง โดยตั้งเป้าขยายจุดบริการครอบคลุม ทั่วประเทศภายในกลางปีนี้

นอกจากนี้ เอสซีจี ยังมุ่งพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services – HVA) โดยเน้นร่วมมือกับลูกค้าหรือสถาบันชั้นนำต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งไตรมาสนี้ เอสซีจีมียอดขาย HVA 45,844 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 39 ของยอดขายรวม โดยใช้งบประมาณการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมกว่า 1,206 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1 ของยอดขายรวม

ส่วนการขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคอาเซียนนั้น ล่าสุดได้เข้าถือหุ้นเพิ่มเติมเป็นร้อยละ 50.9 ในบริษัท Binh Minh Plastics Joint Stock Company ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายท่อและข้อต่อ PVC ชั้นนำทางตอนใต้ของเวียดนามและจัดตั้ง Trading Company โดยเข้าถือหุ้นร้อยละ 50 ในบริษัท PT Nusantara Polymer Solutions ในอินโดนีเซีย เพื่อจัดจำหน่ายเม็ดพลาสติกที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายฐานสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงให้เจริญเติบโตได้ในอาเซียน รวมทั้งจัดตั้ง SCG Roofing Center ที่นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ซึ่งเป็นศูนย์บริการหลังคา ฝ้า ผนังครบวงจรแห่งแรกในต่างประเทศ เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของตลาดและเปิดโอกาสทางธุรกิจในกลุ่มประเทศ AEC อีกด้วย