“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” โชว์ยอดพรีเซลไตรมาสแรก 1,500 ล้าน ทุ่ม 1.2 พันล้าน ลุยเปิดโครงการ 2 ใหม่ เจาะตลาดกรุงเทพฯตอนเหนือ รับรถไฟฟ้าสายสีเขียว สีแดง หลังดีมานด์ทะลัก ตั้งเป้าปี”61 รับรู้รายได้ 4 พันล้านบาท
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ ในโซนกรุงเทพฯตอนเหนือตั้งแต่ถนนรังสิต-ลำลูกกา มีความเจริญต่อเนื่องมาจากการขยายตัวของทำเลย่านพหลโยธิน ดอนเมือง ปทุมธานี รังสิต ที่ได้รับอานิสงส์รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต-ม.ธรรมศาสตร์ ที่รัฐบาลกำลังก่อสร้าง มีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2563 อีกทั้งยังมีโครงข่ายทางด่วนที่เชื่อมต่อไปยังพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯอย่างสะดวกสบาย ทำให้เป็นทำเลขยายของตลาดที่อยู่อาศัยแห่งใหม่
“บริษัทมองเห็นศักยภาพของทำเลกรุงเทพฯ โซนรังสิต-ลำลูกกา ซึ่งได้เปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้ว 2-3 โครงการ มูลค่ารวม 1,300 ล้านบาท จากทั้งปีนี้มีแผนลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ 8-10 โครงการ มูลค่ารวม 4,500 ล้านบาท แยกเป็นพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล 70-80% และต่างจังหวัด 20-30% โดยเฉพาะภาคตะวันออก”
สำหรับโครงการที่เปิดขายแล้ว ประกอบด้วย โครงการไลโอ บลิสซ์ รังสิต-คลองหลวง ทาวน์โฮม 2 ชั้น เริ่มต้น 1.76 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 105-125 ตร.ม. ราคา 1.69 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท แบ่งพัฒนา 4 เฟส เฟสแรก 50 ยูนิต ปิดการขายแล้ว ที่เหลือคาดว่าจะปิดการขายโครงการใน 1-2 ปี
และโครงการลลิล ทาวน์ ไลโอ ลำลูกกาคลอง 4-5 โครงการมิกซ์ยูสสไตล์โมเดิร์น ระหว่างบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 37-54 ตร.ว. ราคา 2.9-3.7 ล้านบาท และทาวน์โฮม ขนาด 17-22 ตร.ว. ราคา 1.9-2 ล้านบาท พื้นที่ใช้สอย 105-155 ตร.ม. ขนาด 3-4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และ 1-3 ที่จอดรถ รวม 417 ยูนิต บนพื้นที่ 44 ไร่ มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท แบ่งพัฒนา 5 เฟส เฟสแรก จำนวน 60 ยูนิต ปิดการขายแล้ว คาดว่าจะใช้เวลาปิดการขาย 2-3 ปี
นายชูรัชฏ์กล่าวอีกว่า ตลาดที่อยู่อาศัยโซนกรุงเทพฯตอนเหนือ มีการแข่งขันสูง เนื่องจากยังมีดีมานด์อยู่มาก ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาราคาขายโครงการปรับขึ้น 5-10% ต่อปี ส่วนที่ดินในทำเลนี้ปรับเพิ่ม 10-20% ปัจจุบันราคาเฉลี่ยที่ดินอยู่ที่ 4-5 ล้านบาท/ไร่ ด้านซัพพลายโครงการแนวราบ ทำเลกรุงเทพฯตอนเหนือ ปัจจุบันมียูนิตเหลือขายตามผังจัดสรรของโครงการประมาณ 7,000-8,000 ยูนิต โดยสร้างแล้ว 2,000 ยูนิต คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการดูดซับประมาณ 12-18 เดือน
“ภาพรวมอสังหาฯในไตรมาส 1/61 ปรับตัวดีขึ้น หรือโตขึ้น 5-8% ปัจจัยจากหนี้ภาคครัวเรือนปรับตัวลดลงอย่าง
ต่อเนื่อง โดยยอดขายพรีเซลของบริษัท ไตรมาสแรกอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 2/61 บริษัทจะพัฒนาโครงการแนวราบอีก 1-2 โครงการ มูลค่ารวม 1,200 ล้านบาท ในปี 2561 ตั้งเป้ายอดขาย 4,500 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 4,000 ล้านบาท”