“แสนสิริ-โตคิว”ตอกย้ำความสำเร็จโปรเจ็กต์ร่วมทุนลุยเพิ่ม5พันล้าน เอกมัย-สุขุมวิท50สนไฮสปีดเชื่อม3สนามบิน

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากความร่วมมือระหว่างแสนสิริและบริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ได้จับมือดำเนินธุรกิจร่วมกันในปีที่ผ่านมา พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย Big Project โครงการแรก ในชื่อ “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) ทำเลสุขุมวิท 77 มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งประสบความสำเร็จ ได้รับการตอบรับที่ดีมากจากกลุ่มลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติ รวมถึงญี่ปุ่นตั้งแต่เปิดพรีเซลล์โครงการ ส่งผลให้มียอดขายแล้วถึง 95% จ่อคิวปิดการขายโครงการเร็วๆ นี้

สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้ แสนสิริ และโตคิว ได้ร่วมกัน เปิดตัว 2 โครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แนวคิดเติมเต็มการอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ Complete your Living Experience และเน้นการสร้าง Beautiful Community จากเทรนด์การใช้ชีวิตยุคใหม่ของญี่ปุ่น ผสานความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการและเข้าใจลึกซึ้งถึงความต้องการของลูกค้าอย่างละเอียด

โดยได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัทใหม่ ภายใต้ชื่อ บริษัท สิริ ทีเค ทรู (Siri TK Two Company Limited) และ บริษัท สิริ ทีเค ทรี (Siri TK Three Company Limited) ในสัดส่วน กลุ่มแสนสิริถือหุ้น 70% และกลุ่มโตคิว คอร์ปอเรชัน ถือหุ้นสัดส่วน 30% เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม 2 โครงการใหม่ ในทำเลใจกลางกรุงเทพฯ ทำเลเอกมัย – สุขุมวิท 50 มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท จะเปิดขายในเดือน มิ.ย.-ส.ค.นี้ โดยเปิดให้ลูกค้าคนไทยก่อนเป็นลำดับแรก

โดยโครงการแรกจะเป็นคอนโดมิเนียมแบบ Hi Rise ความสูง 38 ชั้น ตั้งอยู่บนทำเลเอกมัย ซอย 10 เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นทำเลที่เต็มไปด้วยแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพฯ และได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติในแถบตะวันตก

เนื่องจากแวดล้อมไปด้วย คอมมูนิตี้ มอลล์ ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาล รวมถึงแหล่งกิจกรรมสันทนาการที่คนญี่ปุ่นชื่นชอบ อาทิ ไดรฟ์กอล์ฟ แช่ออนเซน เป็นต้น นอกจากนี้ยัง เป็นทำเลที่สะดวกต่อการเดินทางทั้งรถไฟฟ้า และรถยนต์ นับเป็นจุดศูนย์กลางที่เชื่อมต่อเส้นทางการคมนาคม

โครงการที่ 2 ตั้งอยู่บนทำเลสุขุมวิท 50 เนื้อที่ประมาณ 4 ไร่มูลค่าประมาณ 1,700 ล้านบาท ใกล้รถไฟฟ้าและจุดขึ้นลงทางด่วน ตลอดจนซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ถึง 2 แห่ง จึงสะดวกสบายในการใช้ชีวิต รวมทั้งยังเดินทางไปยังย่านไลฟ์สไตล์ได้อย่างง่ายดายเพียง 4 สถานีรถไฟฟ้าไปยัง The Em District ห้างสรรพสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดของชาวญี่ปุ่นและตะวันตกในประเทศไทยและเพียง 3 สถานีถึงสถานีทองหล่อ ซึ่งนับเป็นศูนย์กลาง Lifestyle Community ของกรุงเทพฯ

จะเป็นคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise ความสูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร ที่พัฒนาภายใต้แนวคิดมอบความสงบและเป็นส่วนตัวให้กับชีวิตเมือง เป็นเทรนด์ที่คนที่อาศัยในกรุงเทพฯ กำลังต้องการ

“แบรนด์และราคาขายกำลังพิจารณาอยู่ในเบื้องต้นราคาขายเฉลี่ยอยู่ประมาณ 1 แสนบาทต้นๆ ต่อตารางเมตร ซึ่งคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการนี้ ทางโตคิวมีส่วนร่วมอย่างมากในการแชร์ know-how ของการพัฒนาที่อยู่อาศัย เชื่อว่าจะได้รับความนิยมจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะลูกค้าญี่ปุ่นในย่านดังกล่าว ปัจจุบันแสนสิริมีลูกค้าญี่ปุ่นมาซื้อโครงการคิดเป็นสัดส่วน 5% จากมูลค่าตลาดลูกค้าต่างชาติทั้งหมดของบริษัท 24,000 ล้านบาท”

นอกจากนี้ แสนสิริยังมองถึงความร่วมมือระยะยาวในอนาคต ที่ไม่เพียงแค่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่ยังมองถึงความร่วมมือกันในการผนวกพลังระหว่างพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างประเทศที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กันและกันอย่างยั่งยืน อาทิ การที่โตคิว คอร์ปอเรชั่น มีฐานลูกค้าที่จะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจในการผลักดันแบรนด์ “แสนสิริ” ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น รวมถึงความร่วมมือจากการนำโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริไปโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น

นายโทชิยูคิ โฮชิโนะ Director & Senior Managing Executive Officer Tokyu corporation เปิดเผยว่า หลังโตคิว คอร์ปอเรชั่น ได้ประกาศความร่วมมือกับแสนสิริ ในแผนร่วมกันพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย โดยพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมโครงการแรก ภายใต้ชื่อ “taka HAUS” เป็นโครงการแรก ซึ่งประสบความสำเร็จได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าจำนวนมาก จึงขยายการลงทุนเพิ่มอีก 2 โครงการ

นอกเหนือจากความเชื่อมั่นในแสนสิริแล้วโตคิวยังมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยที่ยังมีความเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุงเทพมหานคร ที่อยู่ในช่วงระหว่างการขยายโครงข่ายคมนาคมที่ยังเป็นจุดดึงดูดผู้คนมาสู่จุดศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจนี้ และทำให้เชื่อว่ายังมีความต้องการที่อยู่อาศัยที่อยู่ทั้งตามแนวรถไฟฟ้าและอยู่ในเขตชุมชนต่างๆ อีกมาก โดยเฉพาะทำเลเอกมัยและสุขุมวิท 50 นับเป็นทำเลที่น่าสนใจและเป็นย่านที่อยู่อาศัยที่ชาวญี่ปุ่นให้ความนิยมเป็นอย่างมาก

“แสนสิริและโตคิวมองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้สำหรับแผนความร่วมมือในอนาคตเพื่อพัฒนาโครงการ ที่อยู่อาศัยในรูปแบบใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้งเพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ที่อยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติ” นายโฮชิโนะกล่าวและว่า

นอกจากนี้โตคิวยังมีความสนใจในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา ในส่วนของการพัฒนาที่อยู่อาศัยและมิกส์ยูสที่มักกะสันและศรีราชา ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียด แต่ด้วยโครงการมีขนาดใหญ่มาก คงลงทุนคนเดียวไม่ได้ต้องร่วมกันหลายๆ บริษัท

ซึ่งจากประสบการณ์ของโตคิวพัฒนาโครงการทึ่อยู่อาศัยให้เช่าที่ศรีราชา คิดว่าการพัฒนาโครงการรองรับกับรถไฟความเร็สูงสูง เช่น สถานีมักกะสัน ถ้ามีโอกาสก็อยากเข้าไปพัฒนา ขณะนี้รอดูรายละเอียดข้อมูลจากแสนสิริการพัฒนาจะเป็นรูปแบบใด

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันบริษัทแสนสิริได้พัฒนาที่อยู่อาศัยประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ โฮมออฟฟิศ และคอนโดมิเนียมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มีจำนวนโครงการกว่า 318 โครงการ จำนวนที่อยู่อาศัยกว่า 86,070 ยูนิต ที่ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศกว่า 17 จังหวัด รวมทั้งการพัฒนาโครงการในตลาดต่างประเทศ 9 Elvaston Place ใจกลางกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ด้านโตคิว คอร์ปอเรชั่น เริ่มต้นทำธุรกิจโดยการก่อสร้างทางรถไฟสาย เมกุโระ-คามาตะ ในปี 2465 จวบจนมาถึงปี 2560 กลุ่มบริษัทโตคิวมีบริษัทในเครือทั้งสิ้น 220 บริษัท และ 8 บริษัทจดทะเบียนภายใต้การดูแลของ โตคิว คอร์ปอเรชั่น

ธุรกิจต่างๆ เหล่านี้ถูกจัดรวมเข้าเป็น 4 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ กลุ่มธุรกิจขนส่งคมนาคม กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มธุรกิจบริการเพื่อการใช้ชีวิตที่สุขสบาย และกลุ่มธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ต ซึ่งกลุ่มธุรกิจโตคิว สามารถที่จะสรรค์สร้างสภาพแวดล้อมเพื่อการดำเนินชีวิตที่สวยงามสำหรับทุกกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปโดยการรวมฟังก์ชันของธุรกิจต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน

ที่ผ่านมาได้พัฒนาความเป็นอยู่ของคนในเมือง ด้วยการนำบริการด้านการคมนาคม ซึ่งเป็นหัวใจหลักของธุรกิจ มาพัฒนาในระยะยาว พร้อมคิดค้นและพัฒนาการให้บริการที่รองรับกิจกรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค

ในประเทศไทย โดยในกรุงเทพฯ บริษัท โตคิว ดีพาร์ทเม้นท์ สโตร์ จำกัด ปัจจุบันได้ให้บริการ ห้างโตคิว ดีพาร์ทเม้นท์ สโตร์ จำนวน 2 แห่งในกรุงเทพมหานคร เพื่อจำหน่ายสินค้าคุณภาพจากญี่ปุ่น

ขณะที่ บริษัท โตคิว คอนสตรัคชั่น จำกัด ยังร่วมมือกับ บมจ.ช.การช่างก่อตั้งบริษัท ช. การช่าง-โตคิว จำกัด ดำเนินธุรกิจด้านการก่อสร้างทางหลวง และโรงงานของบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น โดยมีการคาดการณ์ว่ายังสามารถเติบโตต่อไปได้เรื่อยๆ ในประเทศไทย


ในปี 2559 โตคิว คอร์ปอเรชันและสหกรุ๊ป ได้ร่วมกันก่อตั้ง บริษัทร่วมทุน สห โตคิว คอร์ปอเรชัน ขึ้น และได้เข้าบริหารอาคารอพาร์ตเมนต์พร้อมบริการ ในชื่อ “HarmoniQ Residence Sriracha” สำหรับชาวญี่ปุ่นและครอบครัว รวมทั้งโตคิวยังมีการสร้างการรับรู้ในตัวแบรนด์โตคิวอย่างต่อเนื่องพร้อมสร้างกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวสู่ชิบูย่าในอนาคต