“เจริญ”จ้องซื้อที่ดิน4.5พันไร่ หลักทรัพย์”วิชัย”ค้ำกรุงไทย

ศึกชิงที่ดินบางนา-ตราด 4.5 พันไร่เดือด เปิดปม “วิชัย” อดีตบิ๊กกฤษดามหานคร ต้องฮึดสู้สุดฤทธิ์ เหตุจากต้องรับภาระจ่ายหนี้แบงก์กรุงไทยตามคำพิพากษาหมื่นล้าน หวั่นมือดีฉวยโอกาสขายที่ดินโดยไม่มีเอี่ยว “เจ้าสัวเจริญ” มาตามนัด จ้องซื้อตุน

แหล่งข่าวจากวงการการเงิน เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” กรณีนายวิชัย กฤษดาธานนท์ อดีตผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร บมจ.กฤษดามหานคร (KMC) ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุกตั้งแต่ช่วงปลายปี 2558 และปัจจุบันยังถูกจองจำ ออกประกาศอ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดิน 4,506-2-33 ไร่ ทำเลถนนบางนา-ตราด กม.ที่ 32+500 และทางคู่ขนานมอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-ชลบุรี กม.33+600 โดยระบุว่าการจำหน่าย จ่าย โอน ก่อภาระผูกพัน ทำนิติกรรมหรือธุรกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวจะต้องได้รับความยินยอมจากตนก่อนนั้น สาเหตุที่นายวิชัยต้องลงประกาศโฆษณาอ้างสิทธิเพราะต้องการรักษาสิทธิในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ที่ บจ.โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเตรียล พาร์ค ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้กับธนาคารกรุงไทย นอกจากนี้นายวิชัยยังค้ำประกันส่วนตัวเงินกู้ก้อนดังกล่าวด้วย จึงถือเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง หากมีการซื้อขายหรือทำธุรกรรมเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้

เสี่ยวิชัยฮึดสู้สุดฤทธิ์

จากที่นายวิชัยต้องรับภาระชดใช้เงิน 10,004 ล้านบาทให้กับธนาคารกรุงไทย ซึ่งได้รับความเสียหาย ตามที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาของศาล จึงต้องการมีส่วนร่วม หากมีการซื้อขายที่ดินแปลงพิพาท เนื่องจากที่ดินแปลงนี้นายวิชัยเป็นผู้รวบรวมซื้อ โดยใช้ บจ.โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเตรียล พาร์ค หนึ่งในบริษัท นอมินีของนายวิชัย โดยผู้ถือหุ้น บจ.โกลเด้นฯ คือ บจ.โปรเกรส พรอพเพอร์ตี้ แมเนจเมนท์ ซึ่งถือหุ้นโดยบุคคลธรรมดา ที่ล้วนเป็นเครือญาติและภรรยาของนายวิชัย และนอกจากเป็นผู้ซื้อที่ดินผืนใหญ่กว่า 4 พันไร่โดยใช้เงินตนเองแล้ว ในการยื่นขอวงเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย ช่วงปี 2546-2547 ส่วนหนึ่งที่ธนาคารอนุมัติวงเงินกู้ให้เป็นเพราะรู้ว่า บจ.โกลเด้นฯ เป็นของนายวิชัย โดยธนาคารได้ให้นายวิชัยค้ำประกันหนี้ในวงเงินที่ยื่นขอกู้ก้อนดังกล่าววงเงินราว 9.9 พันล้านบาท เป็นการค้ำประกันส่วนตัวด้วย

ซื้อขายที่ 4.5 พันไร่ขอเอี่ยว

ประกอบกับนายวิชัยทราบข่าวว่า ก่อนหน้านี้มีการโอนหุ้น บจ.โกลเด้นฯให้กับผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มทุนที่เข้าถือหุ้นใน บมจ.กฤษดามหานคร หรือปัจจุบันคือ บมจ.เอคิว เอสเตท หลังมีการปรับโครงสร้างหนี้ จึงต้องหาทางรักษาสิทธิหากเกิดกรณีมีการซื้อขายเปลี่ยนมือ หรือทำนิติกรรมเกี่ยวโยงกับที่ดินผืนใหญ่ผืนนี้

“ที่ต้องลงประกาศในหนังสือพิมพ์ เพราะสิ่งที่คุณวิชัยกังวลคือ ในช่วงที่ยังต้องได้รับโทษในเรือนจำ เป็นจังหวะที่บุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง สามารถฉวยโอกาสหาผู้ซื้อที่ดินแปลงนี้ไปในราคาที่สูง อาจต้องการนำเงินมาชำระหนี้ให้กับแบงก์กรุงไทย ตามคำพิพากษาของศาล หากเป็นอย่างนั้นส่วนต่างราคาที่สูงกว่าคือกำไร ซึ่งไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่าจะคืนให้กับคุณวิชัย ในฐานะเป็นเจ้าของที่ดิน และเจ้าของ บจ.โกลเด้นฯตัวจริง”

“เสี่ยเจริญ” จ้องซื้อ

ขณะที่แหล่งข่าวจากวงการพัฒนาที่ดิน เปิดเผยว่า วงการอสังหาริมทรัพย์จับตามองมาตลอดถึงความเคลื่อนไหวในการติดต่อซื้อขายที่ดิน 4.5 พันไร่ เดิมเป็นของกลุ่มกฤษดามหานคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังนายวิชัย เจ้าของกฤษดานครในอดีตถูกจองจำอยู่ในเรือนจำตามคำพิพากษา เนื่องจากที่ดินแปลงนี้มีศักยภาพค่อนข้างสูง นอกจากทำเลที่ตั้งติดถนนสายหลักทั้งบางนา-ตราด กับมอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-ชลบุรีแล้ว ยังอยู่ไม่ไกลจากสนามบินสุวรรณภูมิ และอยู่ในทำเลที่จะได้รับอานิสงส์จากการพัฒนาเส้นทางไฮสปีดเทรน รวมทั้งอีอีซีของรัฐบาลด้วย

ล่าสุด มีกระแสข่าวว่ากลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี แสดงความสนใจต้องการซื้อที่ดินทั้ง 4.5 พันไร่ เพราะเล็งเห็นถึงศักยภาพของทำเลที่ตั้งและเป็นที่ดินผืนใหญ่ นำมาพัฒนาสร้างมูลค่าเพิ่มได้หลากหลาย จากก่อนหน้านี้กลุ่มกฤษดามหานคร เคยมีแผนจะพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส ภายใต้ชื่อโครงการกฤษดานคร 4000 มีทั้งที่อยู่อาศัย ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การประชุม โรงพยาบาล โรงแรม มหาวิทยาลัย ฯลฯ ประเมินมูลค่าขายรวมขณะนั้น 2.84 หมื่นล้านบาท ขณะที่ราคาประเมินที่ดินที่ บมจ.เอคิว เอสเตท ระบุเมื่อปี 2558 อยู่ที่ 1.35 หมื่นล้านบาท


ด้าน บมจ.เอคิว เอสเตท ยังไม่พร้อมชี้กรณีดังกล่าว โดยแจ้งว่าต้องให้ผู้บริหารระดับสูงเป็นผู้ให้ข้อมูล