AP นิวไฮปั้นพรีเซล 6.4 หมื่นล้าน ครึ่งปีหลังบุกหนักบ้าน-คอนโด 4 มุมเมือง
นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) เปิดเผยว่า ยอดขาย 5 เดือนแรกทำได้ 14,640 ล้านบาท สัดส่วน 44% ของเป้ายอดขายปี 2561 ที่ตั้งไว้ 33,500 ล้านบาท ล่าสุดเพิ่มจำนวนโครงการใหม่ จาก 34 โครงการเป็น 43 โครงการ แบ่งเป็นแผนเปิดตัวครึ่งปีแรก 8 โครงการครึ่งปีหลังทยอยเปิดเพิ่ม 35 โครงการ สำหรับ 43 โครงการ มีมูลค่ารวม 64,750 ล้านบาท เป็แนวราบ 38 โครงการ มูลค่า 39,350 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 25,400 ล้านบาท หากเป็นไปตามเป้าในปี 2561 จะเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุดนับตั้งแต่ตั้งบริษัท
ทั้งนี้ ไตรมาส 1/61 มีรายได้รวมจากสินค้าแนวราบและคอนโดฯ 6,500 ล้านบาท เพิ่ม 27% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้5,127 ล้านบาท โดยงบฯซื้อที่ดินปีนี้ตั้งไว้ 8,500 ล้านบาท ใช้ไปแล้ว 3,700 ล้านบาท
“ครึ่งปีหลังจะเปิด 3 คอนโดฯ ร่วมทุนกับมิตซูบิชิ เอสเตทกรุ๊ป รวม 20,400ล้านบาท ไฮไลต์จะมีการเปิดตัวแบรนด์ลักเซอรี่ ดิแอดเดรสสยาม-ราชเทวี มูลค่า 8,300 ล้าน อีก 2 โครงการแบรนด์
ไลฟ์ ได้แก่ ไลฟ์ลาดพร้าว วัลเลย์ มูลค่า 6,400 ล้าน ตั้งเป้าเปิดพรีเซลสิงหานี้ และไลฟ์ อโศก ไฮป์ มูลค่า 5,700 ล้าน ในไตรมาส 4”
นายภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจแนวราบ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวเพิ่มเติมว่า เอพีมีความพร้อมในการรุกตลาดแนวราบครึ่งปีหลัง โดยวางแผนเปิดตัวใหม่ 32 โครงการ มูลค่า33,980 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 15 โครงการ มูลค่า 18,600 ล้านบาท แบรนด์ CENTRO และ THE CITY ราคา 5-15 ล้าน และสินค้าทาวน์โฮม 17 โครงการ มูลค่า 15,380 ล้านบาท ราคา 2-10 ล้านบาท
“สินค้าแบรนด์บ้านกลางเมืองมีส่วนแบ่งตลาดสินค้าทาวน์โฮม 3 ชั้น เป็นอันดับ 1 เราต่อยอดการพัฒนาทาวน์โฮม 2 ชั้น แบรนด์พลีโน่ รวมทั้งมีการแตกทำเลให้ครบทุกมุมเมืองของกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็น ย่านสุขสวัสดิ์ พระราม 3 ลาดพร้าว พระราม 9 วัชรพล ปิ่นเกล้า ราชพฤกษ์ รัตนาธิเบศร์ รวมถึงสร้างฐานลูกค้าใหม่ เช่น อ่อนนุช บางนา รังสิต ตามแผนเฉลี่ยต้องทำยอดขายแนวราบสัปดาห์ละ 350-400 ล้านบาท”
นอกจากนี้ เอพีเก็บสถิติย้อนหลัง 5 ปี ลูกค้าเป้าหมายอายุเฉลี่ย 18-35 ปี สัดส่วนตัดสินใจซื้อถึง 60% มีแบบบ้าน 70 แบบบ้าน มีการรีดีไซน์รองรับผู้ซื้อที่มีอายุลดน้อยลง โดยประเมินเทรนด์
ในการพัฒนาโครงการ 3 เรื่องหลัก คือ 1.Multi Generation Living แนวโน้มการอยู่อาศัยร่วมกันของหลายช่วงอายุ 2.Healthy Living ให้ความสำคัญกับการออกแบบพื้นที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดี 3.Smart Home Living ประยุกต์เทคโนโลยีเข้ามาอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตภายในบ้าน
