“แสนสิริ-โตคิว” เปิดตลาดญี่ปุ่น ร่วมทุนบุก “เอกมัย-สุขุมวิท 50-ศรีราชา”

หลังปักหมุดโปรเจ็กต์แรก “taka HAUS” (ทากะเฮาส์) ในซอยเอกมัย 12 ด้วยมูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท เมื่อเดือน ส.ค.ปีที่แล้ว จนครองใจลูกค้าไทยและญี่ปุ่นโกยยอดขายแล้ว 95%

ล่าสุด “บมจ.แสนสิริ” และ “บจ.โตคิว คอร์ปอเรชั่น” ยักษ์รถไฟฟ้า ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์จากประเทศญี่ปุ่น จับมือลุยพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2561 อีก 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท ประเดิมเปิดพรีเซลเรียกน้ำย่อยลูกค้าคนไทยเป็นลำดับแรกภายในเดือน มิ.ย.นี้

“อุทัย อุทัยแสงสุข” ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บมจ.แสนสิริ เปิดเผยว่า ปีที่แล้วแสนสิริและโตคิวจับมือดำเนินธุรกิจร่วมกันพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย big project โครงการแรก “ทากะเฮาส์” ทำเลสุขุมวิท 77 มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ประสบความสำเร็จมีลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติรวมถึงคนญี่ปุ่นเข้ามาซื้อจำนวนมาก ส่งผลให้มียอดขายแล้ว 95% คาดว่าจะปิดการขายได้เร็ว ๆ นี้

“ปัจจุบันแสนสิริมียอดขาย 4 หมื่นล้านบาท ในนี้มียอดขายลูกค้าต่างชาติในช่วง 4-5 ปีอยู่ที่ 24,000 ล้านบาท จากประเทศจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และญี่ปุ่น เราเห็นความสำเร็จจากโครงการทากะเฮาส์ จะขยายฐานลูกค้าญี่ปุ่นมากขึ้น จากปัจจุบัน 5% ปีนี้จะเพิ่มเป็น 10% ทำให้ร่วมลงทุนกับโตคิวเป็นโครงการที่ 2 และ 3” นายอุทัยกล่าว

ในปีนี้มีโปรเจ็กต์ร่วมทุนกับโตคิว 2 โครงการ ซึ่งจะร่วมกันจัดตั้งบริษัทใหม่ชื่อ บริษัท สิริ ทีเค ทรู จำกัด และบริษัท สิริ ทีเค ทรี จำกัด มีกลุ่มแสนสิริถือหุ้น 70% และกลุ่มโตคิว 30% พัฒนา 2 โครงการใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ทำเลเอกมัยและสุขุมวิท 50 มูลค่าโครงการรวมกว่า 5,000 ล้านบาท จะเปิดขายให้ลูกค้าไทยก่อนเป็นลำดับแรกภายในเดือน มิ.ย.-ส.ค.นี้

“2 โครงการใหม่ เป็นทำเลที่แสนสิริและโตคิวคุ้นเคย ใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอส และเป็นย่านอยู่อาศัยของคนญี่ปุ่นและต่างชาติตะวันตกที่ขยับมาจากทองหล่อมาอยู่ในโซนนี้ค่อนข้างมาก คาดว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าต่างชาติไม่ว่าฮ่องกง จีน และญี่ปุ่น”

สำหรับโครงการแรกตั้งอยู่ในทำเลเอกมัยซอย 11 เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมแบบไฮไลต์ สูง 38 ชั้น ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 28 ตร.ม. ราคาขายเริ่มต้น 150,000 บาท/ตร.ม. มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท จะแวดล้อมไปด้วยคอมมิวนิตี้มอลล์ ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาล รวมถึงแหล่งกิจกรรมสันทนาการที่คนญี่ปุ่นชื่นชอบ อาทิ ไดรฟ์กอล์ฟ แช่ออนเซน เป็นต้น จะเปิดขายปลายเดือน มิ.ย.นี้

ส่วนโครงการที่ 2 ตั้งอยู่ถนนสุขุมวิท 50 ใกล้รถไฟฟ้าทางด่วนและศูนย์การค้า เนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 28 ตร.ม. ราคาขายเริ่มต้นอยู่ที่ ตร.ม.ละ 100,000 บาทต้น ๆ จะเปิดขายในเดือน ส.ค.นี้

“การจับมือกับโตคิวครั้งนี้ จะนำโนว์ฮาวหลาย ๆ อย่างมาพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ตรงกับเทรนด์การใช้ชีวิตใหม่ หรือ beautiful community เติมเต็มการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ และไลฟ์สไตล์ของคนญี่ปุ่นที่เราตั้งเป้าจะเพิ่มยอดขายลูกค้ากลุ่มนี้ให้มากขึ้น ซึ่ง 2 โครงการใหม่จะเป็นแบรนด์ใหม่ อยู่ระหว่างตั้งชื่อร่วมกัน” นายอุทัยกล่าวและว่า

การที่แสนสิริผนึกกับโตคิว เป็นการมองโอกาสทางธุรกิจในระยะยาว เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แบรนด์แสนสิริเป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่น ซึ่งโตคิวมีฐานลูกค้าอยู่ในมือจำนวนมากทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงความร่วมมือจากการนำโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริไปโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่น จะรวมถึง 2 โครงการนี้ด้วย จะเปิดขายให้กับคนญี่ปุ่นทั้งรูปแบบการเช่าและขายขาด หลังจากเปิดตลาดในไทยแล้ว

ไม่ใช่แค่โครงการคอนโดมิเนียมในในเมืองกรุงเทพฯ ล่าสุด “แสนสิริ-โตคิว” กำลังร่วมกันขยายตลาดไปยังหัวเมืองหลัก โดย “อุทัย” กล่าวว่า บริษัทมีที่ดินเปล่าประมาณ 10 ไร่ ใกล้เมืองศรีราชา ติดถนนสุขุมวิท อยู่ระหว่างร่วมกับโตคิวศึกษารูปแบบการพัฒนาโครงการจะเป็นโปรเจ็กต์ทาวน์เฮาส์ หรือคอนโดมิเนียมขาย ถึงจะเหมาะสมกับตลาดและราคา

ด้าน “โตชิยูคิ โฮชิโนะ” กรรมการและเจ้าหน้าที่ผู้จัดการบริหารอาวุโสและผู้จัดการบริหารทั่วไป สำนักงานใหญ่ธุรกิจต่างประเทศ บจ.โตคิว คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า โครงการร่วมทุนกับแสนสิริพัฒนาโครงการทากะเฮาส์ นับเป็นครั้งแรกที่โตคิวเข้ามาลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย และได้ผลตอบรับที่ดี จึงได้ร่วมลงทุนอีก 2 โครงการ และใน 3 ปีนี้จะร่วมมือกันต่อไปอีกในรูปแบบสร้างสังคมเมือง ซึ่งการลงทุนแต่ละโครงการมองกำไรขั้นต้น 33-38% และมีกำไรสุทธิ 11-15%

“เชื่อมั่นแสนสิริ และศักยภาพของประเทศไทยที่มีการเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรุงเทพฯกำลังขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าสายใหม่ ๆ ที่เป็นจุดดึงดูดคนมาสู่จุดศูนย์กลางเมือง ทำให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้ามาก” นายโฮชิโนะกล่าว

สำหรับคอนโดมิเนียม 2 โครงการใหม่จะตอบโจทย์ ซึ่งแสนสิริและโตคิวมองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้ สำหรับแผนความร่วมมือในอนาคตพัฒนาที่อยู่อาศัยในรูปแบบใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ตอบรับไลฟ์สไตล์ที่อยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติ ซึ่งโตคิวตั้งเป้าลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย และเวียดนาม 100 ล้านเหรียญต่อปี

ขณะที่ “อุทัย” บิ๊กแสนสิริ มั่นใจว่าโปรเจ็กต์ร่วมทุนนี้จะทำให้ยอดขายของบริษัทเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ 45,000 ล้านบาท และเป้ารายได้ 30,000 ล้านบาท จากทั้งปี 2561 มีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ 31 โครงการ มูลค่ารวม 63,200 ล้านบาท ซึ่งเปิดไปแล้ว 14 โครงการ มูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 20,000 ล้านบาท