ส่องตลาดโมเดิร์นเทรดวัสดุ มาตรการรัฐ E-Receipt หนุนกำลังซื้อ Q1/68

4 คน วัสดุก่อสร้าง

ตลาดโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งที่ประเมินกันว่ามีมูลค่าตลาดไม่ต่ำกว่าปีละ 2-3 แสนล้านบาท ยังคงเต็มไปด้วยความคึกคักทั้งการลงทุนใหม่และการช่วงชิงกำลังซื้อลูกค้า

เหตุผลหลักเป็นเพราะพฤติกรรมการซื้อของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย 2-3 กลุ่ม มีส่วนผสมมาจาก 1.กำลังซื้อที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ 2.กำลังซื้อจากเจ้าของบ้านที่ซื้อต่อเติม ซ่อมแซม ของเดิม และ 3.พฤติกรรมการซื้อของลูกค้าต่างจังหวัด ที่ไม่ได้สร้างบ้านเสร็จพร้อมกันทั้งหลัง แต่ทยอยสร้าง ทยอยต่อเติมทีละส่วน เช่น ต่อเติมห้องให้พ่อแม่สูงอายุ เพิ่มห้องลูกน้อยเกิดใหม่ สร้างห้องน้ำใหม่ทดแทนห้องเก่า เป็นต้น

นำมาสู่บรรยากาศการแข่งขันเต็มรูปแบบตั้งแต่ต้นปี 2568 ทั้งช่องทางจำหน่ายผ่านโชว์รูมขนาดใหญ่ การลงทุนเพิ่มให้สาขาย่อยมีรูปโฉมทันสมัยมากขึ้น และช่องทางขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยไตรมาส 1/68 มีตัวช่วยจากรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร มีมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ “Easy E-Receipt 2.0” ที่เปิดให้ประชาชนนำยอดซื้อสินค้าหรือบริการมาหักลดหย่อนภาษีไม่เกิน 50,000 บาท ช่วงระหว่าง 16 มกราคม-28 กุมภาพันธ์ 2568 นี้

E-Receipt กระตุ้นกำลังซื้อต้นปี

เปิดประเด็นกันด้วยเทรนด์ปี 2568 “อนุพงศ์ ทะสดวก” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด หรือ NocNoc แพลตฟอร์มออนไลน์สินค้าและบริการเรื่องบ้านที่กำลังมาแรงแห่งยุคระบุว่า ปีนี้ตลาดตกแต่งบ้านในไทยมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น อาจแตะมูลค่า 10,300 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยสนใจและชื่นชอบการตกแต่งบ้าน โดยเฉพาะในช่วงต้นปีที่มักจะมีเทรนด์การแต่งบ้านใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้บริโภคนำมาปรับให้เข้ากับสไตล์ของตนเอง

ทั้งนี้ เทรนด์การตกแต่งจะอ้างอิงกับสีประจำปี โดยปีนี้สีโทนน้ำตาลอมชมพู หรือ Mocha Mousse มาแรง รวมถึงสีเอิร์ทโทน สามารถนำไปมิกซ์แอนด์แมตช์ให้เข้ากับเทรนด์การตกแต่งบ้านอย่าง Scandinavian, Japandi และ Minimal ที่เน้นการออกแบบพื้นที่ให้โปร่ง โล่ง สร้างความรู้สึกสบายตา เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีฟังก์ชั่นที่หลากหลายในชิ้นเดียวเพื่อลดทอนการตกแต่งที่ไม่จำเป็น การตกแต่งในสไตล์นี้จะช่วยสร้างพื้นที่พักผ่อนที่มีความเหมาะสม ตอบโจทย์คนทำงานที่ต้องการหลีกหนีความเครียดจากการทำงาน หรือความวุ่นวายรอบข้าง

อนุพงศ์ ทะสดวก
อนุพงศ์ ทะสดวก

NocNoc มองว่า ยังมีเทรนด์การตกแต่งเฉพาะบุคคล หรือ Personalized ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับพื้นที่อยู่อาศัยที่สามารถสะท้อนตัวตน รสนิยม ไลฟ์สไตล์ และตอบโจทย์ฟังก์ชั่นการใช้งานที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตได้มากขึ้น เป็นเทรนด์ต่อเนื่องมาจากสถานการณ์โควิดที่มีการทำงานที่บ้าน (WFH-Work From Home) ด้วยการปรับพื้นที่ในโซนทำงานให้เป็นโฮมออฟฟิศ เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เอื้อต่อการจัดเก็บเอกสาร หรืออุปกรณ์การทำงานอย่างเป็นสัดส่วน รวมไปถึงการเลือกใช้สีโทนสบายตา อย่างเช่น สีขาว น้ำตาล หรือสีเขียว หรือสีที่มีผลช่วยสร้างโฟกัสในการทำงาน อย่างเช่น สีเทา หรือสีน้ำเงิน

ADVERTISMENT

นอกจากนี้ เทรนด์การใช้เทคโนโลยีสำหรับที่อยู่อาศัย หรือ Smart Home Technology เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตเพียงคลิกเดียว เช่น ระบบสวิตช์ไฟอัตโนมัติ สั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่านแอป ระบบ Smart Lock ตลอดจนระบบผู้ช่วยส่วนตัวในรูปแบบ AI ที่ผู้ใช้งานสามารถสั่งงานผ่านเสียงเพื่อให้จัดการสิ่งต่าง ๆ ภายในบ้าน เป็นต้น

“จากการเก็บข้อมูลของ NocNoc พบว่า สไตล์ที่ใช่สำหรับคนไทยในปีนี้ การแต่งบ้านสไตล์ Japandi มีสัดส่วน 25% สไตล์ Scandinavian 23% และ Industrial 20%”

ADVERTISMENT

ในด้านกิจกรรมด้านการตลาดเพื่อขานรับ Easy E-Receipt 2.0 มีการจัดโปรโมชั่นพิเศษมอบส่วนลดสูงสุด 70% และ On Top ด้วยคูปองส่วนลดเพิ่มสูงสุด 2,000 บาท ผ่อน 0% 6 เดือน ฯลฯ ทั้งช่องทางการซื้อบนเว็บไซต์ และบนแอป NocNoc

“Easy E-Receipt 2.0 น่าจะส่งผลกระทบเชิงบวกให้กับการบริโภคภายในประเทศในช่วงต้นปีนี้ โดยเฉพาะการซื้อขายออนไลน์ทั้งบนเว็บไซต์ และแพลตฟอร์มที่สามารถออก E-Receipt ได้ทันที จึงเป็นการลดขั้นตอนให้กับผู้ขาย ลดความยุ่งยากในการจัดเก็บเอกสาร ทำให้เกิดการจัดการระบบภาษีที่ดีขึ้น และยังช่วยอำนวยความสะดวก รวมถึงคืนกำไรให้แก่ผู้ซื้อ โดยจากการคาดการณ์ของกรมสรรพากร คาดว่าโครงการนี้จะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่า 70,000 ล้านบาท”

โมเดิร์นเทรดแข่งลงทุนระดับอำเภอ

ถัดมา “สาธิต สุดบรรทัด” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT กล่าวว่า ปี 2567 ที่ผ่านมาประเมินตลาดวัสดุในภาพรวมหดตัว -10% เทรนด์ปีงูเล็กคาดว่าตลาดรวมจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีปัจจัยบวกจากการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์รัฐ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รองรับการขยายตัวของเมือง ตลอดจนความต้องการใช้วัสดุเพื่อการปรับปรุงและซ่อมแซมบ้าน

สาธิต สุดบรรทัด
สาธิต สุดบรรทัด

โดยตราเพชรมองว่าช่องทางการขายหลักทั้ง 4 ช่องทาง มีแนวโน้มขยายตัวจากปีก่อน ได้แก่ 1.ตลาดส่งออกในกลุ่มประเทศอาเซียน อาทิ กัมพูชา เวียดนาม เมียนมา ฟิลิปปินส์ ฯลฯ มีศักยภาพเติบโตจากสินค้ากลุ่มหลังคา บอร์ดและไม้สังเคราะห์ 2.การแข่งขันของโมเดิร์นเทรดวัสดุที่ประกาศแผนขยายตัวต่อเนื่องในปีนี้ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคในระดับอำเภอ 3.ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย ซึ่งตราเพชรวางแผนเพิ่มจำนวนร้านค้าให้ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ยิ่งขึ้น และ 4.ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงมีการลงทุนใหม่อย่างต่อเนื่อง

สำหรับกลยุทธ์การแข่งขัน ตราเพชรโฟกัสทำการตลาดเชิงรุก นำเสนอสินค้าพร้อมบริการ Diamond Solutions ผ่านช่องทางจำหน่าย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้มีความหลากหลายภายใต้กลยุทธ์ “สวยครบเซต ตราเพชรทั้งหลัง” เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในราคาที่เข้าถึงได้

ปักหมุดสาขา 88 ไทวัสดุ กาฬสินธุ์

หนึ่งในเมกะเพลเยอร์ค่ายไทวัสดุ “สุทธิสาร จิราธิวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล (CRC) กล่าวว่า ไทวัสดุยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตธุรกิจผ่านกลยุทธ์การขยายสาขา เน้นทำเลหัวเมืองเศรษฐกิจหลัก และกลุ่มเมืองรอง เติมเต็มความต้องการภาคการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ โดยเปิดสาขาใหม่ของปีนี้และเป็นสาขาที่ 88 “ไทวัสดุ กาฬสินธุ์” รองรับกำลังซื้อครอบคลุมโซนภาคอีสานตอนกลาง บนพื้นที่สโตร์ 18,000 ตร.ม. ใช้งบฯลงทุน 340 ล้านบาท พร้อมกับจุดขายในเรื่องการให้บริการครบวงจรในที่เดียว

โดยดำเนินงานภายใต้ 3 กลยุทธ์หลักเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นและรองรับไลฟ์สไตล์ใหม่ ๆ คือ 1.Top of Mind ตอบโจทย์ทุกความต้องการวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน นำเสนอสินค้ากว่า 40,000 รายการ ครอบคลุมทุกหมวดหมู่สินค้าก่อสร้าง ตกแต่ง ซ่อมแซม อาทิ ปูนซีเมนต์ เหล็ก กระเบื้อง สีทาอาคาร เครื่องมือและอุปกรณ์งานช่าง วัสดุโครงสร้าง และสินค้าเพื่อบ้าน ทั้งเฟอร์นิเจอร์ สุขภัณฑ์ เครื่องครัว และเครื่องใช้ไฟฟ้า

สุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ไทวัสดุ
สุทธิสาร จิราธิวัฒน์

ทั้งยังตอบโจทย์ผู้บริโภคด้วยการเลือกซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้างอย่างง่ายดาย ด้วยห้อง Construction Room รวบรวมตัวอย่างสินค้าโครงสร้าง 5,000 รายการ คัดสรรจากแบรนด์คุณภาพดี และมีการอัพเดตเทรด์สินค้าใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง บริการให้คำปรึกษาจากพนักงานมืออาชีพ การันตีคุณภาพด้วยบริการหลังการขายที่พร้อมดูแลลูกค้าในทุกขั้นตอน เพิ่มความคล่องตัวในการช็อปปิ้งไร้รอยต่อผ่านหน้าร้านและแอปพลิเคชั่นไทวัสดุ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้าน ที่พร้อมเป็นเพื่อนคู่ใจในทุกงานก่อสร้าง ปรับปรุง รีโนเวต ซ่อมแซม ได้ครบจบในที่เดียว

2.ชูทำเลยุทธศาสตร์เชื่อมต่อทุกดีมานด์ของอีสานตอนกลาง ที่ตั้งไทวัสดุ กาฬสินธุ์ ปักหมุดบนทำเลศักยภาพสูงใจกลางเมืองกาฬสินธุ์ บริเวณแยกบ้านหามแห-โพนทอง ริมถนนหลวงหมายเลข 299 เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างกาฬสินธุ์ มุกดาหาร และจังหวัดอื่น ๆ รองรับการพัฒนาในแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก หรือ EWEC ประตูการค้าการลงทุนไทยกับเมียนมา ลาว เวียดนาม ทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการและเจ้าของบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

ไทวัสดุนำเสนอความแข็งแกร่งในด้านการสร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง ผ่านกิจกรรมส่งเสริมการตลาด แคมเปญและโปรโมชั่นที่จัดขึ้นตลอดปี และที่สำคัญมีบริการครบวงจรทั้งหน้าร้านและออนไลน์ ผ่านแอป Smart Features เช่น เช็กราคาเหล็กแบบเรียลไทม์ โปรแกรมออกแบบสีทาอาคาร การสั่งตัดผ้าม่าน พร้อมระบบใบเสนอราคาที่รวดเร็ว ช่วยให้ผู้ประกอบการและเจ้าของบ้านบริหารงบประมาณได้ง่ายขึ้น โดยกลยุทธ์การให้บริการนี้ออกแบบมาอย่างเฉพาะตัว และได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า

3.เติมเต็มความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่น ข้อมูลพื้นฐานจังหวัดกาฬสินธุ์ มีแนวโน้มมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม หรือ GPP (เทียบเท่าจีดีพีของจังหวัด) เพิ่มขึ้นทุกปี โดยปี 2565 มี GPP อยู่ที่ 65,764 ล้านบาท และมีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อคนต่อปี 83,907 บาท ช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วยการสนับสนุนธุรกิจการก่อสร้าง อุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ ช่วยกระจายรายได้และเงินหมุนเวียนในจังหวัด โดยไทวัสดุ สาขากาฬสินธุ์ ยังเปิดรับสมัครงานกว่า 200 อัตรา เพื่อให้บุคลากรในพื้นที่ได้มีอาชีพที่มั่นคงและยั่งยืน ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาชุมชนในระยะยาว

นอกจากนี้ ไทวัสดุยังร่วมกับพันธมิตรผู้ร่วมค้าในการบริจาคเงินให้แก่ศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ สอดคล้องกับปรัชญา CRC Care ของเซ็นทรัล รีเทล ในด้าน Care For The Community ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลและพัฒนาชุมชน ผ่านการยกระดับสาธารณสุขของคนในพื้นที่

CCP ชู “G-Block อิฐกู้โลกเดือด”

เทรนด์ ESG ก็มา โดย “อาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ CCP เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามความร่วมมือกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT พัฒนาผลิตภัณฑ์คอนกรีตเพื่อการลดก๊าซเรือนกระจก โดยใช้เทคโนโลยีแปลงสภาพก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เกิดประโยชน์ในกระบวนการบ่มคอนกรีต ซึ่งนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ “G-Block อิฐกู้โลกเดือด” สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงถึง 1.8-3.1 กิโลกรัม CO2 ต่อตารางเมตร

อาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม
อาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม

“ความร่วมมือกับ ปตท.ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของ CCP เรามุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และเราหวังว่าผลิตภัณฑ์ G-Block จะได้รับการตอบรับที่ดีจากภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง และเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ โดยผลิตภัณฑ์ G-Block มีการนำไปใช้เป็นวัสดุปูพื้นทางเดินในพื้นที่สวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีแผนขยายการใช้งานไปสู่ภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างในวงกว้าง เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศต่อไป”