2568 “พี่ใหญ่ LH” ตั้งการ์ดสูง เปิดใหม่ 4 โครงการรับมืออนาคตที่คาดเดาไม่ได้

แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์

แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิดแผนธุรกิจปี 2568 ลดเพดานการพัฒนาโครงการใหม่ลง -64%

ตั้งเป้ายอดขาย 23,000 ล้านบาท เป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ 20,000 ล้านบาท และเป้ารายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า 9,240 ล้านบาท

เมื่อถามถึงนิยามทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ คำตอบกระชับ “ปี 2568 ทุกอุตสาหกรรมเป็นปีที่ต้องกลับมามองตัวเองมากขึ้น ความไม่แน่นอนค่อนข้างจะเยอะ” คำกล่าวของ “นพร สุนทรจิตต์เจริญ” ประธานกรรมการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH

บ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่-ซีรีส์ vie

ทั้งนี้ การประกาศแผนลงทุนใหม่ของค่ายแลนด์ฯ มีแคแร็กเตอร์จัดเวทีพบสื่อปีละ 1 ครั้งถ้วน เริ่มต้นด้วย “วัชริน กสิณฤกษ์” กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการบ้านจัดสรร ของ LH มองแนวโน้มปี 2568 ตลาดที่อยู่อาศัยได้รับปัจจัยบวกจากการเติบโตของจีดีพีที่มองไว้ 2.9% เทรนด์ดอกเบี้ยขาลง การเติบโตทางเศรษฐกิจมี 2 ปัจจัยขับเคลื่อนจากการลงทุนภาครัฐและภาคการท่องเที่ยวหนุนนำ

แต่ก็มีปัจจัยกดดันจากกำลังซื้อชะลอตัว หนี้เสียของสินเชื่อซื้อบ้าน-คอนโดมิเนียมที่ปรับสูงขึ้น หนี้ครัวเรือนระดับสูง แบงก์เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ดังนั้น สิ่งที่ดีเวลอปเปอร์ต้องให้ความสำคัญในปีนี้ คือ การรักษาสภาพคล่อง ควบคู่กับความระมัดระวังในการใช้เงินลงทุนในการพัฒนาโครงการ

สำหรับผลดำเนินงาน LH ในปี 2567 ยอดขายหลักสัดส่วน 80% มาจากโครงการแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ อีก 20% มาจากยอดขายคอนโดฯ เมื่อแยกตามพื้นที่พบว่า เขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลทำรายได้ 88% ที่เหลือ 12% เป็นรายได้มาจากต่างจังหวัด รวมทั้งพอร์ตรายได้หลักของบริษัทมาจากสินค้าราคาสูงเกิน 10 ล้านบาทขึ้นไป มีจำนวนมากกว่า 50%

ADVERTISMENT

เรื่องใหม่ระหว่างปีมาจากการเปิดตัวบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ “ซีรีส์ vie” ภายใต้คอนเซ็ปต์ The Limitless Life สไตล์ Modern Minimal ให้พื้นที่และฟังก์ชั่นเปิดกว้างเน้นพื้นที่ใช้สอย โดยเปิดตัว 3 ทำเล ได้แก่ ราชพฤกษ์ตัดใหม่, ทางด่วนรามอินทรา-วงแหวน และปิ่นเกล้า-พุทธมณฑลสาย 5

LH มีการเปิดตัว 12 โครงการ มูลค่า 30,850 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านแนวราบทั้งหมด จะเห็นว่าเปิดเกินเป้าที่ประกาศไว้ 1 โครงการ แบรนด์ “vie ทางด่วนรามอินทรา-วงแหวน” มูลค่า 650 ล้านบาท เบ็ดเสร็จการเปิดตัวใหม่ของบ้านแนวราบเพิ่มขึ้น 8.4% เทียบกับปี 2566 มีการลงทุนซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัย 4,300 ล้านบาท

ADVERTISMENT

มูลค่าสะสม 93,000 ล้าน

LH ประกาศแผนลงทุนปี 2568 เตรียมเปิดตัว 4 โครงการใหม่ มูลค่า 11,180 ล้านบาท ลดลง -64% เมื่อเทียบกับปี 2567 เจาะกำลังซื้อระดับกลาง-บน เหตุผลเนื่องจากยังมีสินค้าคงเหลือขายในระดับที่เพียงพอ

โดยโครงการใหม่ในปีนี้ทั้งหมดจะเป็นบ้านเดี่ยว อยู่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 3 โครงการ, ภูเก็ต 1 โครงการ เจาะกำลังซื้อกลุ่มราคา 8-15 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์สีวลี, กลุ่มราคา 30-80 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์บ้านเดี่ยว นันทวัน กับ Vive โดยขยับขยายเพิ่มพอร์ตสินค้าในระดับกลาง-บน รวมทั้งทดแทนโครงการที่ขายหมดในปีที่ผ่านมา เช่น ทำเลกรุงเทพกรีธา ซึ่งเปิดแล้ว 5 โครงการ ปีนี้เปิดทดแทน 1 โครงการ

มีผลให้สถิติสะสมโครงการเก่าในปี 2567 + โครงการใหม่ในปีนี้ มีทั้งหมด 75 โครงการ มูลค่ารวม 93,000 ล้านบาทเป็นบ้านแนวราบ 69 โครงการ มูลค่าสะสม 79,500 ล้านบาท คอนโดฯ 6 โครงการ มูลค่าสะสม 13,500 ล้านบาท

ในด้านราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วย ปี 2567 อยู่ที่ 9.8 ล้านบาท ปี 2568 เพิ่มเล็กน้อยขึ้นมาอยู่ที่ 10.5 ล้านบาท

เว้นวรรคเปิดคอนโดฯใหม่อีกปี

ถัดมา “โชคชัย วลิตวรางค์กูร” กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการอาคารชุด ของ LH เปิดผลดำเนินการปี 2567 ว่า มียอดขายคอนโดฯ 3,400 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 20% ของยอดขายรวม แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการ วันเวลา ณ เจ้าพระยา 2,500 ล้านบาท ซึ่งเปิดตัวในปี 2566 มีผลตอบรับดีสม่ำเสมอ ล่าสุดในเดือนกันยายน 2567 มีการเปิดเฟสใหม่ Tower C เบ็ดเสร็จทั้งโครงการมียอดขายรวม 7,700 ล้านบาท คิดเป็น 52% ของมูลค่าโครงการ ปัจจุบันมีความคืบหน้าการก่อสร้าง 20% คาดว่าจะเริ่มโอนได้ในช่วงปลายปี 2569

ข้อมูล ณ สิ้นปี 2567 มีคอนโดฯพร้อมขายทั้งหมด 6 โครงการ มูลค่ารวม 13,500 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดฯ RTM-ready to move 5 โครงการ มูลค่า 6,200 ล้านบาท กับโครงการวันเวลา ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 7,300 ล้านบาท

สำหรับปี 2568 เทรนด์ตลาดรวมมีการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยมีปัจจัยบวกจากหน่วยเหลือขายปรับลดลงในปี 2567 และการลดลงของอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ยอดกู้ไม่ผ่านยังอยู่ระดับสูง เทรนด์ภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า และมาตรการ LTV-loan to value กดดันให้เทรนด์ตลาดคอนโดฯปีนี้อาจยังไม่แข็งแรงเท่าช่วงก่อนสถานการณ์โควิดในปี 2563

จุดเน้นปีนี้ มุ่งเป้าการขายคอนโดฯจากโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นหลัก

แหล่งระดมทุนหลัก “หุ้นกู้”

ยังมีผู้บริหารคนสำคัญ “อาชวิณ อัศวโภคิน” รองกรรมการผู้จัดการและผู้บริหารสูงสุดด้านการเงิน ของ LH ทายาทคนโตของเจ้าพ่อแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ “อนันต์ อัศวโภคิน” กล่าวว่า ผลการดำเนินงานปี 2567 บริษัทยังคงมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง จากการบริหารจัดการสภาพคล่องที่ดีและจากสินทรัพย์ลงทุนที่มีอยู่ มีการออกหุ้นกู้มูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท อายุ 2-3 ปี ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.14% ต่อปี เพื่อใช้หมุนเวียนในการดำเนินงาน

ณ สิ้นปี 2567 บริษัทมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิ 67,000 ล้านบาท มีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 1.3 เท่า เป้าหมายต้องการควบคุมให้อยู่ที่ระดับ 1 เท่า และมีต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย 3.11%

สำหรับพอร์ตรายได้เพื่อเช่าและบริการ ปัจจุบันมีโครงการที่พัฒนาและอยู่ภายใต้การบริหารจัดการ 18 แห่ง ประกอบด้วย โรงแรม Grande Centre Point ที่เปิดดำเนินการแล้ว 7 แห่ง (ขายเข้ากองทรัสต์ 6 แห่ง) อยู่ระหว่างก่อสร้าง 3 แห่ง ศูนย์การค้า Terminal 21 อีก 3 แห่ง (ขายเข้ากองทรัสต์ 2 แห่ง) รวมถึงอพาร์ตเมนต์และโรงแรมในสหรัฐอเมริกา 5 แห่ง

“ปี 2567 ธุรกิจเพื่อเช่าเติบโตได้ดีกว่าแผนที่วางไว้ คาดว่ารายได้ทั้งปีจะเติบโต 16% จากปี 2566 สาเหตุมาจากธุรกิจโรงแรมในไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนทำเลสุรวงศ์ที่เพิ่งเปิดบริการได้ปีกว่า และการเข้าซื้อโรงแรม Residence Inn Manhattan Beach เมื่อเดือนมีนาคม 2567 ทำให้รายได้โรงแรมในสหรัฐเติบโตเกิน 1 เท่าตัวจากปีก่อน”

โดยสรุป พอร์ตรายได้เพื่อเช่าลงทุนรวมมูลค่า 5,800 ล้านบาท แบ่งเป็น เข้าซื้อโรงแรม Residence Inn Manhattan Beach 2,400 ล้านบาท, ก่อสร้างแกรนด์ เซ็นเตอร์พอยต์ ลุมพินี มูลค่า 2,100 ล้านบาท, พัฒนาธุรกิจโรงแรมและอพาร์ตเมนต์ 1,300 ล้านบาท

ลดหนี้-ระบายของ-กระจายลงทุน

แผนธุรกิจปี 2568 เดินหน้าธุรกิจให้เช่าอย่างต่อเนื่อง ลดระดับหนี้สินต่อทุน โดยเตรียมงบฯลงทุน 8,500 ล้านบาท แบ่งเป็นงบฯจัดซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัย 4,000 ล้านบาท กับงบฯลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า 4,500 ล้านบาท

เรื่องใหม่ปีนี้ เตรียมเปิดอีก 1 แห่ง คือ แกรนด์ เซ็นเตอร์พอยต์ ลุมพินี ในเดือนเมษายนนี้ เป็นโครงการมิกซ์ยูส มีพื้นที่สำนักงาน 12,700 ตร.ม. กับโรงแรม 512 ห้อง ห้องประชุม 2,000 คน ตามมาด้วย แกรนด์ เซ็นเตอร์พอยต์ ราชดำริ 2 ในปี 2569 และแกรนด์ เซ็นเตอร์พอยต์ พัทยา 3 ในปี 2570

ขณะเดียวกัน LH วางแผนลดสัดส่วนอพาร์ตเมนต์ลงในสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่คนอเมริกันยังคงรูปแบบการทำงานที่บ้าน หรือ Work From Home และหันมาเน้นธุรกิจโรงแรมเป็นหลัก

“ปีนี้มีแผนออกหุ้นกู้โรลโอเวอร์มูลค่า 12,000 ล้านบาท เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนด ในด้านการเงินจะโฟกัส 3 เรื่องหลัก ลดหนี้ ระบายสินค้า และกระจายการลงทุน” คำกล่าวของ CFO แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์