
กอดกันให้มั่น จับมือกันให้แน่น
ธีมธุรกิจที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังของค่าย “FPT-เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย” ท่ามกลางอนาคตที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นจากปัจจัยกดดันรอบด้านในปี 2568 การประกาศแผนลงทุนใหม่มีไฮไลต์อยู่ที่บริษัทตั้งเป้าผลประกอบการเติบโต 11%
เบื้องหลังความมั่นใจมีส่วนผสมสำคัญอย่างน้อย 2 ส่วนหลัก ทางหนึ่งมาจากบิสซิเนสโมเดลที่มีความหลากหลายของพอร์ตลงทุนครบวงจร 3 ด้าน “อสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย-เพื่ออุตสาหกรรม-เพื่อการพาณิชย์” ทำให้สามารถรับมือได้กับทุกความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจ อีกทางหนึ่งมาจากสุดยอดโมเดลการให้บริการหลังการขาย ซึ่งน่าจะเป็นลิขสิทธิ์ของ FPT ด้วยรหัสย่อ REaaS-Real Estate as a Service ซึ่งบริษัทใช้เป็นธีมธุรกิจลีดการแข่งขันขององค์กรในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
อาจกล่าวได้ว่าปี 2568 สมรภูมิการแข่งขันไม่ได้มีแค่การผลักดันยอดขายใหม่ ๆ แต่บริการหลังการขายอสังหาฯทำยังไงให้ลูกค้าประทับใจ เมื่อประทับใจแล้วย่อมซื้อซ้ำ รวมทั้งนำไปบอกต่อ (Word of Mouth) นำมาสู่บรรทัดสุดท้ายของผลประกอบการจะเป็นตัวชี้วัดว่า แม้อยู่ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่องยาวนาน แต่องค์กรก็สามารถเป็นผู้ชนะในเกมการแข่งขันระดับเรดโอเชียนได้ในที่สุด
กางแผน 2568 เป้าโต 11%
โดย “ธนพล ศิริธนชัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Country CEO) บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 ยังคงเป็นปีที่ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายหลายปัจจัย ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นภูมิรัฐศาสตร์โลกจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อ ผลกระทบที่ยังคาดเดาไม่ได้จากทรัมป์ 2.0 ซึ่งต้องจับตาถึงสงครามการค้าที่คาดว่าจะสั่นสะเทือนโลกทั้งใบ ด้านสถานการณ์ในประเทศ กำลังซื้อซบเซาต่อเนื่อง ระดับหนี้ครัวเรือนและอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยไม่สามารถฟื้นตัวเต็มที่
ขณะเดียวกัน หลายสินค้าในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์อยู่ในสภาวะซัพพลายล้นตลาด โดยเฉพาะตลาดบ้านเดี่ยวระดับลักเซอรี่ที่ดีเวลอปเปอร์แข่งขันลงทุน ทำให้มีซัพพลายสะสมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สวนทางกับดีมานด์ที่ลดลง ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าหรือออฟฟิศบิลดิ้ง มีการแข่งขันสูงจากอาคารสำนักงานเกิดใหม่ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างการก่อสร้างและเตรียมเปิดให้บริการในอนาคต รวมถึงคลังสินค้าให้เช่าที่เริ่มมีสัญญาณซัพพลายทะลัก หลังจากมีดีเวลอปเปอร์ทั้งบิ๊กเนมและรายกลางหลายรายกระโดดเข้ามาเล่นในตลาดนี้เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความผันผวนในไทยและต่างประเทศ FPT วางแผนอย่างระมัดระวังเพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคง โดยวางแผนธุรกิจในปีงบการเงิน 2568 (ตุลาคม 2567-กันยายน 2568) ตั้งเป้ารายได้ 16,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีงบการเงิน 2567 (ตุลาคม 2566-กันยายน 2567)

กอดกันให้มั่น จับมือกันให้แน่น
เรื่องใหม่ในปีนี้ FPT นำเสนอกลยุทธ์ “กอด-Secure Core, Embrace Future” ซึ่งจะกอดฐานลูกค้าเดิมให้แน่น พร้อมเดินหน้าหาลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ผ่านการดำเนินงานใน 3 มิติ ดังนี้
1.“Flexible” กลยุทธ์ปรับตัวให้ยืดหยุ่นตามดีมานด์ของตลาด ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยืดหยุ่น ด้วยจุดแข็งการเป็นแพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ประกอบด้วยพอร์ตธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม สามารถสร้างรายได้จากการขายและค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ จึงมีกระแสรายได้ต่อเนื่อง
โดยกลยุทธ์ Flexible ทำให้สามารถปรับรูปแบบของสินค้าและบริการให้ยืดหยุ่นตามความต้องการของลูกค้า เช่น ระยะเวลาการทำสัญญาเช่าที่เลือกได้ จากสัญญาพื้นฐานเช่าออฟฟิศบิลดิ้งและพื้นที่รีเทล 3 ปี สามารถเปิดดีลต่อรองตามความต้องการลูกค้า, การพัฒนาพื้นที่แบบมัลติฟังก์ชั่นที่สามารถเปลี่ยนได้ตามลักษณะการใช้งาน เป็นต้น
2.“Feeling” กลยุทธ์สร้างประสบการณ์เหนือระดับ ส่งมอบความประทับใจให้กับลูกค้าผ่านการนำเสนอบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ดีในทุกพื้นที่การให้บริการ พร้อมด้วยการให้บริการหลังการขายอย่างจริงใจ และเอาใจใส่ ผ่านการออกแบบการดูแลที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม เช่น การนำเสนอโมเดลวันสต็อปเซอร์วิส เช่าสำนักงานแบบตกแต่งพร้อมเข้าทำงานได้เลย เป็นต้น
รวมถึงการจัดกิจกรรมต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ในการมัดใจ และรักษาลูกค้าให้อยู่กับบริษัทได้อย่างมีความสุขในระยะยาว
3.“Focus” กลยุทธ์มุ่งพัฒนาสินค้าและบริการที่เชี่ยวชาญ ใช้ Data-driven Insights วิเคราะห์แนวโน้มตลาดและความต้องการลูกค้า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) เพื่อนำไปสู่การสร้างโซลูชั่นใหม่ ๆ ที่สามารถเสริมมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ และตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างทันท่วงที
ที่อยู่อาศัยลงทุนใหม่ 9,803 ล้าน
จากแผนภาพใหญ่ กลยุทธ์ “กอด-Secure Core, Embrace Future” มีการนำมาปรับใช้กับ 3 กลุ่มธุรกิจของ FPT ที่เป็นรายละเอียดสู่ภาคปฏิบัติ ดังนี้
“อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย” พลิกโฉมการพัฒนาที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ให้กับลูกค้า ทั้งดีไซน์และฟังก์ชั่นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ เสริมด้วยบริการหลังการขายสุดแข็งแกร่ง เพราะดูแลลูกค้าตั้งแต่วันแรกทั้งก่อนและหลังเข้าอยู่
FPT มีแผนเปิด 6 โครงการใหม่ในกรุงเทพฯ นครราชสีมา และขอนแก่น รวมมูลค่าโครงการ 9,803 ล้านบาท นำเสนอเป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับลักเซอรี่และระดับบน 3 โครงการ ภายใต้แบรนด์ The Grand, Grandio และแบรนด์ใหม่ “Gramour” พร้อมด้วยทาวน์โฮมพรีเมี่ยม 1 โครงการในแบรนด์ใหม่ “Goldina” ราคา 4-6 ล้านบาท
รวมทั้งเพิ่มโฟกัสตลาดคอนโดมิเนียมแบรนด์ Klos อีก 1 โครงการ ควบคู่กับวางแผนเดินหน้าบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น ด้วยการจัดโรดโชว์ที่ประเทศจีน เจาะกลุ่มลูกค้าที่สนใจซื้อตามโควตาลูกค้าต่างชาติ 49% อย่างถูกกฎหมายไทยในสินค้าคอนโดมิเนียม
บิลต์ทูฟังก์ชั่น-มัดใจลูกค้าอุตฯ
ถัดมา “อสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม” ปัจจุบัน FPT มีสถานะเป็นเบอร์ 1 ของตลาดโรงงาน-คลังสินค้าให้เช่า ด้วยพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการมากถึง 3.66 ล้านตารางเมตร กระจายอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ใน 3 ประเทศ “ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม” การลงทุนใหม่ปีนี้ตั้งเป้าขยายพื้นที่เพิ่มอีก 150,000 ตารางเมตร รวมทั้งรักษาอัตราการเช่ารวมของพอร์ตโฟลิโอสูงกว่า 88%
อีกทั้งเดินหน้าพัฒนาอาคารอุตสาหกรรมตอบโจทย์ทุกดีมานด์ของผู้เช่ากลุ่มนักลงทุน ทั้งโมเดลแฟกตอรี่สำเร็จรูป (Ready-Built), โมเดลแฟกตอรี่สร้างความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit) และโมเดลแฟกตอรี่สร้างตามฟังก์ชั่นพร้อมใช้ (Built-to-Function) ซึ่ง FPT เป็นรายแรกของตลาดแฟกตอรี่ในการพัฒนาสินค้ารูปแบบนี้ ผลปรากฏว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สามารถปิดดีลลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน บริษัทจะเข้าไปร่วมพัฒนาโครงการ Industrial Township พื้นที่ 4,600 ไร่ ตั้งอยู่บริเวณ ถ.บางนา-ตราด กม.32 ซึ่งพร้อมเปิดตัวโครงการในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 นี้
ขณะเดียวกัน ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสแฝงอยู่ จากผลกระทบที่คาดเดาไม่ได้ของยุคสมัยทรัมป์ 2.0 เทรนด์มาแรงเป็นเรื่องการย้ายฐานการผลิตมาไทย ประเมินจากทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI-Board of Investment ประกาศตัวเลขมียอดขอรับการส่งเสริมลงทุนที่เป็นกลุ่มผู้ลงทุนตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI-Foriegn Direct Investment มูลค่าลงทุนเกิน 1 ล้านล้านบาท
และ “อสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม” จุดขายโดดเด่นของ FPT เฟ้นปักหมุดสำนักงานให้เช่าบนทำเลเกรด A จึงเป็นความได้เปรียบในการแข่งขัน กลยุทธ์ปีนี้ต้องการยกระดับการให้บริการและคุณภาพอาคารสำนักงานเกรด A อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้อาคารทุกกลุ่ม ผสมผสานการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับผู้เช่า ซึ่งเป็นจุดเด่นของบริษัทที่ทำให้สามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมได้อย่างเหนียวแน่น
ดังนั้น FPT จึงวางแผนดึงดูดลูกค้านักลงทุนต่างชาติกลุ่มใหม่ ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาลงทุนในไทยจากการย้ายและขยายฐานการผลิตอีกด้วย
FPT โมเดล “Everyday AI”
ในส่วนของพื้นที่รีเทล ปี 2568 เป็นปีแห่งการเพิ่มเติมร้านค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้โภคมากขึ้น ผนวกการจัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบที่สร้างประสบการณ์เหนือระดับ เพื่อปลุกสีสันตลาดและเพิ่มยอดทราฟฟิก โดยมีความมั่นใจว่าปีนี้จะสามารถรักษาอัตราการเช่าของพอร์ตโฟลิโออสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมได้สูงกว่า 90%
หากถามคนในวงการรีเทล ระดับการเช่าตั้งแต่ 90% ขึ้นไป มีค่าเทียบเท่าการเช่าที่ 100% ซึ่งหมายถึงการประสบความสำเร็จในธุรกิจรีเทลเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ FPT ยังได้นำ AI-Artificial Intelligence หรือปัญญาประดิษฐ์ และ Data Analytics เข้ามาใช้ในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของธุรกิจ ทั้งการออกแบบและสร้างสรรค์โครงการ วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำไปพัฒนาสินค้าและบริการที่สร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า รวมถึงส่วนของออฟฟิศในด้านการจัดการบัญชีและการเงิน เป็นต้น ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่ายและเวลาในกระบวนการต่าง ๆ
ในยุคที่ใคร ๆ ก็ใช้ AI แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ใช้ได้เป็น-ใช้ได้จริงหรือไม่ โจทย์ลึกลับข้อนี้ทาง FPT ได้จัดให้มีโครงการ Everyday AI ส่งเสริมการเรียนรู้การใช้ AI ให้กับพนักงาน เพื่อนำไปปรับใช้กับการทำงานให้มีศักยภาพมากขึ้น เป็นการสร้างรากฐานองค์กรให้ก้าวสู่อนาคตได้อย่างแข็งแกร่ง ในยุคที่การแข่งขันสูงและการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ด้วยกลยุทธ์และแผนงานที่ถูกวางอย่างเข้มแข็งและรอบคอบ บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถผลักดันธุรกิจเติบโตมั่นคงท่ามกลางแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันยังเป็นการเดินหน้าตามแผนการขับเคลื่อนเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย สู่ Real Estate as a Service Brand ด้วยการต่อยอดนวัตกรรมการบริการ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการบริการที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน”
ควบคู่กับความมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) ภายในปี 2050 (2593) สอดคล้องกับเจตนารมณ์ขององค์กรในการสร้างสรรค์พื้นที่ ให้ประสบการณ์ที่ดีคงอยู่ (Inspiring Experiences, Creating Places for Good)
“ฉากทัศน์การทำงานในเครือข่าย FPT ผู้บริหารทุกระดับจะต้องลงมาหน้างาน เข้ามาคลุกคลีกับลูกค้าในทุกมิติ เพื่อให้กลยุทธ์กอดกันให้มั่น จับมือกันให้แน่น เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จะเห็นว่ายุคของการแข่งขันระดับเรดโอเชียน ผู้บริหารระดับกลางและระดับสูงของ FPT ไม่ใช่ถูกบังคับออกจากคอมฟอร์ตโซน แต่เราไม่เคยอยู่ในคอมฟอร์ตโซนต่างหาก เพราะเราตระหนักดีว่า ถึงแม้จะมีแผนกลยุทธ์ที่ดีเลิศเลอแค่ไหน แต่การลงมือปฏิบัติเป็นหัวใจของความสำเร็จ การที่มีผู้บริหารลงมือทำภาคปฏิบัติอย่างแท้จริงร่วมไปกับทีมงาน ยิ่งเพิ่มโอกาสความสำเร็จให้กับกลยุทธ์ของ FPT” คำกล่าวของธนพล ศิริธนชัย