“กลุ่มมโนธรรมรักษา ”ผนึกทุนจีนผุดคอนโดฯ Sea Heaven ในทอน ภูเก็ต

กลุ่มบีสตาร์ เฮฟเว่น เดินหน้าลงทุนวิลล่าในภูเก็ต

ตระกูล “มโนธรรมรักษา” โผล่ปักหมุดแลนด์แบงก์ 80 ไร่ ทำเลหาดในทอน จ.ภูเก็ต นำร่องผนึกกลุ่มทุนจีนผุดคอนโดฯ โลว์ไรส์ “ซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน” ดึงเชนโรงแรม WYNDHAM เข้าบริหาร สร้างความเชื่อมั่น ลูกค้ารัสเซียแห่ซื้อเพียบ ตั้งเป้าปั้นเป็น “มินิลากูนา” จุดหมายปลายทางนักลงทุน-ท่องเที่ยวในอนาคต

นายวีระวิทย์ มโนธรรมรักษา รองประธาน บริษัท บีสตาร์ เฮฟเว่น จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต มีข้อมูลของแผนกวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส (ประเทศไทย)จำกัด พบว่า ในช่วงไตรมาส 1/68 มีคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศเปิดขายใหม่ 45 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 49,160 ล้านบาท

แนวโน้มปี 2568 ตลาดคอนโดมิเนียมในจังหวัดภูเก็ตจะยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง แต่ซัพพลายเปิดขายใหม่อาจปรับตัวลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 8,000 -10,000 ยูนิต เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีซัพพลายเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดมากกว่า 20,000 ยูนิต ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง

โดยทำเลย่านในทอน ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง ก่อนหน้ามีบ้านพักตากอากาศระดับลักเซอรี่เปิดขายราคาขายมากกว่า 100 ล้านบาทต่อยูนิต ปัจจุบันซัพพลายถูกซื้อขายจากกลุ่มกำลังซื้อระดับบนเป็นที่เรียบร้อยทุกยูนิต

และทำเลแห่งนี้กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่มองเห็นศักยภาพของพื้นที่ชายฝั่งที่ยังคงมีความเป็นธรรมชาติและไม่หนาแน่นจนเกินไป

หนึ่งในจุดเด่นของย่านในทอนคือ ยังไม่มีการแข่งขันด้านอสังหาฯสูงมากนัก มีคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขายเพียง 2 โครงการ จำนวน 820 ยูนิตเท่านั้น คิดเป็นสัดส่วน 2.18% ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดในตลาดรวม

ADVERTISMENT

สำหรับบ้านพักตากอากาศมีซัพพลายอยู่ระหว่างการขาย 6 โครงการ จำนวน 113 ยูนิตเท่านั้น คิดเป็นสัดส่วน 2.75% ของซัพพลายอยู่ระหว่างการขายทั้งหมดในตลาด ถือว่าน้อยมาก โดยมีจุดเด่นสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ เป็นธรรมชาติ และเหมาะกับการอยู่อาศัยแบบพักผ่อนหรือการพัฒนาเป็นรีสอร์ตระดับพรีเมียม

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนต่างชาติที่มองหาที่อยู่อาศัยหรือบ้านพักตากอากาศในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มชาวรัสเซีย และนักลงทุนจากยุโรป สแกนดิเนียเวีย รัสเซีย จีน และอินเดีย ต้องการซื้อเป็นบ้านหลังที่สองในรูปแบบ Leasehold (เช่าระยะยาว 30 ปี)

ขณะที่ลูกค้าชาวไทยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีกำลังซื้อสูง ต้องการที่อยู่อาศัยที่มีความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบาย บางรายซื้อเพื่อการลงทุนหรือปล่อยเช่าในระยะยาว

ส่วนราคาที่ดินย่านในทอน พบว่า ทำเลเชิงเขาที่ดินมีราคาเสนอขาย 15-30 ล้านบาทต่อไร่ ที่ดินใกล้ชายหาดจะมีราคาเสนอขายอยู่ที่ 25-50 ล้านบาทต่อไร่

นายวีระวิทย์กล่าวเพิ่มเติมว่า แผนลงทุน 2 ปี (2568-2569) มีแผนพัฒนาเอง 100% จำนวน 2 โครงการ

โดยปี 2568 พัฒนาโครงการวิลล่า “ภูวิสต้า แอร์พอร์ต” บริเวณหาดในยาง บนพื้นที่ 15 ไร่เศษ ห่างสนามบินภูเก็ต 5 นาที ที่ดินเริ่ม 60-100 ตารางวา ราคาเริ่ม 15-35 ล้านบาท จำนวน 44 ยูนิต มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท กำหนดเปิดพรีเซลเดือนพฤษภาคม 2568 นี้

จากนั้นในปี 2569 มีแผนเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูส หาดในทอน เริ่มจากเปิดตัวคอนโดฯ แบรนด์ “แซง โทเปซ” (Saint Tropez) สูง 7 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 30-70 ตารางเมตร ราคา 3.5-6 ล้านบาท จำนวน 100 ยูนิต มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท

นายวีระวิทย์กล่าวเพิ่มเติมว่า คุณพ่อของตน คือ นายทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา ได้กว้านซื้อแลนด์แบงก์ไว้เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว โดยมีทั้งซื้อกรรมสิทธิ์และเช่าระยะยาว 30 ปี + 30 ปี รวมทั้งสิ้น 80 และเริ่มพัฒนาโครงการมาตั้งแต่ปี 2562 ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าต่างชาติ โดยเน้นช่องทางผ่านเอเย่นต์ สัดส่วน 70%

โดยโครงการแรกที่พัฒนาในปี 2562 อาคารพาณิชย์ 3 ชั้น ด้านหน้าถนนติดชายหาดในทอน จำนวน 20 ยูนิต แบ่งเป็น 3 คลัสเตอร์ๆละ 7-8 ยูนิต ขายสิทธิการเช่า 30 ปี ราคา 7-8 ล้านบาท มูลค่าลงทุน 100 ล้านบาท

ล่าสุดปรับแผนปล่อยเช่าพื้นที่ชั้นล่างแต่ละยูนิตเป็นร้านค้าต่างๆ ค่าเช่า 30,000 บาท/เดือน ปัจจุบันมีผู้เช่าเต็มทั้งหมด ส่วนชั้น 2-3 ปล่อยเช่าเป็นโรงแรม มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย 74 ห้องพัก ค่าห้อง 1,500-4,500 บาท/คืน

ต่อมาในปี 2562-2563 นำที่ดิน 12 ไร่พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ “ซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน” (Seaheaven Phuket Naithon) โดยร่วมทุนกับกลุ่มทุนอสังหาฯจีน Bestart International Holdings มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์ แบ่งการพัฒนาเป็น 2 เฟส มูลค่าโครงการรวม 1,500 ล้านบาท

เน้นโมเดลขายสิทธิการเช่า 30 ปี + 30 ปี โดยเฟสแรก มีจำนวน 1 อาคาร สูง 5 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 37-70 ตารางเมตร จำนวน 124 ยูนิต ราคาเริ่ม 4 ล้านบาท ปัราคาขยับขึ้นเป็นยูนิตละ 5-6 ล้านบาทขึ้นไป และปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ส่วนเฟส 2 เปิดขายปี 2566 ออกแบบเป็นคอนโดฯสูง 5 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 30-70 ตารางเมตร จำนวน 127 ยูนิต ราคาเริ่ม 4.5 ล้านบาท เฉลี่ย 120,000-130,000 บาท/ตารางเมตร ปัจจุบันปรับขึ้นเป็นเริ่มต้น 170,000 บาท/ตารางเมตร มียอดขายแล้ว 72%

บริษัทดึงเชนโรงแรมแบรนด์ WYNDHAM เข้ามาบริหารโครงการด้วย นำเสนอการขายแบบการันตีผลตอบแทนการลงทุนค่าเช่าที่ 7% ต่อปี หลังนั้นในปีที่ 6 เป็นต้นไปก็จะแบ่งรายได้สัดส่วน 30:70 โดยลูกค้าที่เป็นเจ้าของห้องพัก จะสามารถเข้าพักในช่วงไฮซีซันได้ 10 วัน/ปี และช่วงโลว์ซีซัน ได้ 20 วัน/ปี

ลูกค้าที่ซื้อและเช่าพักส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเศรษฐีรัสเซีย ที่มากันเป็นครอบครัว ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง โดยในช่วงก่อนและหลังเทศกาลปีใหม่ 15 วัน สามารถปล่อยเช่า 70,000 บาท/เดือน สำหรับคอนโดฯในเฟสที่ 2 จะเริ่มทยอยโอนได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2568 นี้เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ช่วงปลายปี 2566 ได้นำที่ดิน 3 ไร่เศษจากที่ดินผืนใหญ่ 80 ไร่ นำมาพัฒนาเอง 100% ภายใต้บริษัท เมอริส จำกัด พัฒนาวิลล่าแบรนด์ “ภูวิสต้า วิลล่า” บนที่ดินเริ่มต้น 70-160 ตารางวา ราคาขาย 32-72 ล้านบาท จำนวน 10 ยูนิต มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท มียอดขายแล้ว 8 ยูนิต เป็นคนไทยซื้อ 2 ยูนิต

ล่าสุดนำที่ดิน 4 ไร่ มาพัฒนาเป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ 2 อาคาร ภายใต้แบรนด์ “Seaheaven” เฟส 3 โดยร่วมทุนกับพันธมิตรกลุ่มทุนจีนเช่นเดิม แบ่งพัฒนา 2 เฟส มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท

โดยเฟสแรกออกแบบเป็นคอนโดฯ สูง 7 ชั้น จำนวน 1 อาคาร พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 30-70 ตารางเมตร ราคา 3.9-8 ล้านบาท จำนวน 108 ยูนิต มียอดขายแล้ว 69% เฟสที่ 2 เป็นคอนโดฯอีก 1 อาคาร จำนวน 115 ยูนิต วางแผนเปิดพรีเซลเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2568 นี้

“ถ้าพูดถึงภูเก็ตแล้ว ชาวต่างชาติรู้จักลากูน่า ภูเก็ต มากที่สุด อยู่ในย่านบางเทา เป็นย่านลักเซอรี่ในภูเก็ต กลุ่มเราตั้งเป้ายกระดับย่านในทอน สร้างอาณาจักรของบีสตาร์ เฮฟเว่นให้เป็นมินิลากูนาในอนาคต