อุษณา มหากิจศิริ ทายาทธุรกิจเนสท์เล่ “อสังหาทำเพราะใจรัก”

สัมภาษณ์

ดาวจรัสแสงประดับวงการอสังหาริมทรัพย์อีกราย “ณา-อุษณา มหากิจศิริ” ทายาทธุรกิจกลุ่มเนสท์เล่ เป็นน้องสาวของ “พี่กึ้ง-เฉลิมชัย” กับ “พี่ตุ๊ก-อุษณีย์” และเป็นผู้บริหารกลุ่มธุรกิจครอบครัวมหากิจศิริ ในฐานะประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด “อุษณา” ยอมรับว่า โครงการแรกแบรนด์คอนโดมิเนียม “เดอะเนสท์” เริ่มแล้วไม่ได้ทำต่อเนื่อง เพิ่งมาช่วง 2-3 ปีหลังที่บรรจุเวลาอยู่ในตารางการทำงานประจำวันได้ เป้าหมายธุรกิจอสังหาฯ เธอบอกว่า พยายามให้มียอดเติบโตนับจากนี้ เฉลี่ยเป้าลงทุนปีละ 1,500-2,000 ล้านบาท

Q : รายได้ธุรกิจอสังหาฯ

ปีนี้ตั้งเป้า 2,500 ล้าน โครงการนี้ (เดอะเนสท์ สุขุมวิท 64) ขายดี ตอนนี้จอง 80% ตอนพรีเซลจอง 50% มั้ง แล้วยอดขายไล่ ๆๆๆ ขึ้นมา ตอนนี้มีสุขุมวิท 22 ที่จะโอนเยอะ (316 ยูนิต มูลค่า 1,400 ล้าน) กับโครงการนี้ และสุขุมวิท 71 เพิ่งเปิดตัวไตรมาส 3 ก็เลยตั้งเป้า 2,500 ล้าน

Q : สนใจเข้าตลาดไหม

ยัง ยัง ไม่สน (ยิ้ม) ไม่อยากมีแรงกดดัน อยากมีความสุขกับการทำงาน ณาไม่อยากเข้าเพราะหลาย ๆ บริษัทใน listed โดนฟอร์ซด้วยเป้ารายได้ ซื้อที่ดินแพง แต่เราทำเพราะได้ที่ดินราคาดี และตั้งใจทำ

ปัจจุบันธุรกิจครอบครัวณาดู พิซซ่าฮัทซึ่งปีนี้ขยายเยอะ 40 สาขา ตั้งเป้าจะเบิ้ล 1 เท่าใน 3 ปี ปีนี้ในทีทีเอมีคาร์โก้เบลล์ แบรนด์ที่เพิ่งเอาเข้ามาลองตลาด

Q : มีแพสชั่นอะไรทำอสังหาฯ

ชอบค่ะ ต้องทำเพราะใจรัก นี่คือหัวใจ ถ้าขาดตรงนั้นไปหลาย ๆ อย่างจะไม่ออกมาดีละ สุดท้ายคือต้องมีใจรัก ต้องชอบในสิ่งที่ทำโชคดีที่เรามีครอบครัวมารองรับ เรียกว่ามีความมั่นใจและภูมิใจในการทำงาน เพราะเรารู้ว่าเรามีครอบครัวซัพพอร์ต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในการจะขึ้นโปรเจ็กต์แต่ละอันมันก็มีความเสี่ยงของตัวมันเอง เราก็คงจะต้องใช้ประสบการณ์ ตรงนี้ทุก ๆ คนต้องเรียนรู้ไปตามการทำงานไป สิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่ส่งต่อกันไม่ได้ เป็นสิ่งที่ต้อง earn มันไม่สามารถ give ต้อง earn ประสบการณ์ด้วยตัวเองในการพัฒนาโครงการณาดูแบบเอง ดูโลเกชั่นเอง โมเดลธุรกิจเราแคปไว้ด้วยราคาขายที่เหมาะสม พูดจริง ๆ ไม่ใช่ราคาแพง เราทำแล้วก็ต้องได้กำไรให้เป็นกอบเป็นกำ ไม่ใช่ตั้งเป้าว่าจะต้องให้ราคาถึงเท่าไหร่

ถามว่า แลนด์แบงก์ของครอบครัวทำไมไม่เอามาพัฒนา แลนด์แบงก์ใหญ่ ๆ มันจะไม่เหมาะกับแบรนด์เดอะเนสท์แล้วไง เหมาะกับดีเวลอปเมนต์อีกแบบหนึ่ง ถ้าแปลงใหญ่คงทำ recurring (รายได้เช่า) คงจะไม่ขาย ขายแล้วก็ต้องปาดน้ำตา (หัวเราะ)

ปัญหาเจอบ้างไหม…เอาอย่างนี้ ความโชคดีก็คือว่าคุณพ่อคุณแม่ก็จะปล่อยให้ทำ ให้ explore เอง เพราะฉะนั้นก็จะได้ลองผิดลองถูก เราก็ต้องหวังว่าเราจะทำถูกมากกว่าผิด (หัวเราะ) เพราะถ้าถูกมากกว่าผิดแสดงว่าเราพัฒนา ใช่ไหม แต่ถ้าผิดมากกว่าถูกเราก็แย่สิ

Q : อันไหนที่ทำแล้วเป็นบทเรียน

มองย้อนกลับไป เอาง่าย ๆ เราซื้อที่ดินถ้าเราเก็บไว้ ตอนนี้ โอ้โห ราคาตั้งเท่าไหร่แล้วเนี่ย (เพลินจิต) แต่ว่า…ตรงนี้เราต้องมองว่าประสบการณ์ ถ้าเราไม่ทำโปรเจ็กต์แรกก็ไม่มีโปรเจ็กต์ 2-3-4 ตามมา ใช่ไหม ต้องมองว่าตรงนี้คือเป็นโอกาส เพราะฉะนั้นบทเรียนธุรกิจคือที่ดินตรงเพลินจิตไง เปิดครั้งแรกขายตารางเมตรละ 8-9 หมื่นเท่านั้นเอง ซื้อที่ดินวาละ 2-3 แสนเอง ตอนนี้ไม่ต้องพูดว่าเท่าไหร่ และไม่มีขายแล้วด้วย ทำเลตรงนั้น เมื่อสัก 6-7 ปีแล้วมั้ง

Q : มีที่ดินแปลงไหนแย่งซื้อ

ส่วนใหญ่ไม่ได้แย่งซื้อกับใคร เพราะที่ดินที่ซื้อมาส่วนใหญ่มีปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ต้องมาเคลียร์ เลยทำให้ได้ราคาดี เช่น มีคนบุกรุกต้องไปทยอยเคลียร์ บริษัทเรามีฝ่ายกฎหมายคือฝ่ายเคลียร์ (ยิ้ม)

คีย์ซักเซสต้องมาจากหลาย ๆ ส่วน 1.ทีมงาน เป็นทีมงานที่มีประสบการณ์ตั้งแต่หาที่ดิน มีส่วนเยอะ 2.ด้วยความที่บริษัทไม่ใหญ่ เราโฟกัสแต่ละโครงการที่จะออกมา เราก็ลงรายละเอียดค่อนข้างเยอะ ไม่ได้ถูกกดดันด้วยเวลา เราก็มีเวลาทำอะไรได้เยอะ

ทีมเดอะเนสท์เยอะขึ้น ตอนนี้ประมาณ 30 คนแล้วมั้ง หลักในการบริหาร ณาก็เน้นว่าลูกน้องทุกคนที่ทำงานในทีมต้องมีความสุขกับการทำงาน คืออย่าทำด้วยหน้าที่ แต่ทำด้วยมี passion

ในการทำงาน หลาย ๆ อย่างในการทำงานเราจะเน้นสื่อสารเป็นหลัก เวลามีปัญหาอะไรแลกเปลี่ยนกัน บางทีไอเดียเราไม่ได้ดีที่สุด ไอเดียทีมเรามีประสบการณ์เยอะกว่าเราก็สามารถให้ข้อคิด ให้ไอเดียอะไรที่ดีกว่าด้วย ฉะนั้น ณาเปิดรับฟังไอเดียทุกคนเป็นหลัก

Q : ปัญหาใหญ่ ๆ ที่เจอคืออะไร


ไม่มีอะไรเล็กใหญ่ ปัญหาก็คือปัญหา และเราก็จะต้องแก้ไขและผ่านมันไป