แห่โอนบ้านทุบสถิติ 3 ปี หนีมาตรการคุมเข้มสินเชื่อที่อยู่อาศัยของแบงก์ชาติ

นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการ ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2561 และแนวโน้มปี 2562 ว่า ภาพรวมในไตรมาส 4 ปี 2561 สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในด้านความต้องการซื้อและการเปิดตัวโครงการใหม่ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2560 ในด้านความต้องการซื้อมีการปรับเพิ่มขึ้นของการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย และสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (แอลทีวี) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เม.ย. 2562 ส่งผลให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์และสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั่วประเทศมีการเร่งตัวก่อนที่จะมีมาตรการบังคับใช้โดยอยู่ที่ 98,530 ยูนิต สูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2558 (สูงสุดในรอบ 3 ปี) ที่มีมาตรการลดหย่อนภาษีและค่าธรรมเนียมในการโอน ซึ่งมียอดโอนสูงถึง 118,234 ยูนิต และเมื่อคิดเป็นยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศตลอดปี 2561 อยู่ที่ 363,711 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากปีก่อหน้าที่มีปริมาณการโอนที่ 315,102 ยูนิต ส่วนในปี 2562 คาดการณ์ว่ายอดโอนกรรมสิทธิ์จะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 306,911 ยูนิต หรือลดลงราว 15%

สำหรับภาพรวมโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในปี 2561 มีจำนวนรวม 404 โครงการ มีหน่วยในผังรวม 118,271 ยูนิต และมีมูลค่าโครงการรวม 538,767 ล้านบาท จำนวนโครงการลดลง 2.7% แต่จำนวนยูนิตและมูลค่าเพิ่มขึ้น 3.6% และ 10.3% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปี 2560 ซึ่งมีจำนวน 415 โครงการ 114,194 หน่วย และมีมูลค่าโครงการ 488,537 ล้านบาท

ทั้งนี้ แบ่งเป็นประเภทบ้านจัดสรรมีจำนวน 244 โครงการ ลดลง 9% และมีจำนวน 45,063 ยูนิต ลดลง 8.5% แต่มีมูลค่าโครงการ 217,811 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% เมื่อเทียบกับปี 2560 ซึ่งมีจำนวน 268 โครงการ 49,241 ยูนิต และมีมูลค่าโครงการ 209,905 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดมีจำนวน 160 โครงการ 73,208 ยูนิต และมีมูลค่าโครงการ 320,956 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนโครงการ จำนวนหน่วยและมูลค่าโครงการ โดยเพิ่มขึ้น 8.8%, 12.7% และ 15.2% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปี 2560 ซึ่งมีจำนวน 147 โครงการ 64,953 หน่วย และมีมูลค่าโครงการ 278,632 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในปี 2561 มีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดขายโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ จำนวน 250 โครงการ หรือคิดเป็น 61.9% มีจำนวน 85,037 ยูนิต คิดเป็น 71.9% และมีมูลค่าโครงการรวม 389,315 ล้านบาท คิดเป็น 72.3% ของโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ทั้งหมด ซึ่งเปิดขายลดลงจากปี 2560 เล็กน้อยทั้งจำนวนโครงการ จำนวนหน่วยและมูลค่าโครงการ 0.8%, 4.6% และ 0.9% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปี 2560 ซึ่งบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เปิดขายจำนวน 252 โครงการ 89,165 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 393,009 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มที่อยู่อาศัยอยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในปี 2562 ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 112,044 ยูนิต เป็นประเภทบ้านจัดสรรประมาณ 41.1% และเป็นอาคารชุด 58.9% โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ที่ประมาณ 100,800-123,250 ยูนิตลดลง 5.3% เมื่อเทียบกับปี 2561 ซึ่งมีจำนวน 118,271 ยูนิต

สำหรับทำเลของโครงการอาคารชุดที่เปิดขายใหม่มากที่สุด 5 อันดับแรกในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ปี 2561 และส่วนใหญ่เป็นห้องชุดประเภท 1 ห้องนอนมากที่สุด ได้แก่ ห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (เอ็มอาร์ที) ส่วนใหญ่เปิดขายในระดับราคา 5.01-7.50 ล้านบาท ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดิมซึ่งส่วนใหญ่เปิดขายในระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาทมากที่สุด ถัดมาเป็นทำเลสุขุมวิท ตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส (สายสุขุมวิท) ส่วนใหญ่เปิดขายในระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป

ส่วนอันดับ 3 เป็นทำเล พระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศส่วนใหญ่เปิดขายในระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดิมซึ่งส่วนใหญ่เปิดขายในระดับราคา 2.01-3 ล้านบาทมากที่สุด อันดับ 4 เป็นทำเลพญาไท-ราชเทวี ตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส (สายสุขุมวิท) ส่วนใหญ่เปิดขายในระดับราคา 5.01-7.50 และ 7.51-10 ล้านบาท ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดิมซึ่งส่วนใหญ่เปิดขายในระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาทมากที่สุด และอันดับ 5 เป็นทำเล ธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด ส่วนใหญ่เปิดขายในระดับราคา 2.01-3 ล้านบาทมากที่สุด

“แนวโน้มในปี 2562 คาดว่าผลจากมาตรการควบคุมสินเชื่อ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นจะส่งผลต่อตลาดที่อยู่อาศัย จะส่งผลให้มีการชะลอตัวทั้งในด้านความต้องการซื้อและการเปิดตัวโครงการใหม่ โดยในด้านการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยจะลดลงทั้งจำนวนยูนิตและมูลค่า 17.9% และ 15.1% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปีก่อน และคาดว่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะลดลง 2.8% ส่วนปริมาณการเปิดตัวโครงการใหม่คาดว่าจะลดลงประมาณ 5.3% เมื่อเทียบกับปี 2561 แต่ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนคาดว่าจะยังคงเพิ่มขึ้น 11.3% เมื่อเทียบกับปี 2561 เนื่องจากการขยายตัวของโครงการที่เปิดขายใหม่ปีที่ผ่านมา”นายวิชัยกล่าว

 

 


ที่มา ข่าวสดออนไลน์