นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เผยว่า บริษัทปรับผังโครงสร้างองค์กรใหม่ โดยแต่งตั้งนายประกรณ์ เมฆจำเริญ ดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) อย่างเป็นทางการ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2562 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นการแต่งตั้งทดแทนนายพงษ์เชิด จามีกรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ที่ครบอายุเกษียณ
แผนธุรกิจปี 2562 คาดว่าตลาดเมืองไทยโต 5-9% ตลาดต่างประเทศตั้งเป้าโต 10% โดยมีเป้ารายได้รวม 18,000 ล้านบาท
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ดร.วิวัฒน์ กรมดิษฐ์ ผู้อยู่เบื้องหลัง “บ้านกรมดิษฐ์” บ้านสวนลอยฟ้า
ไฮไลต์ปีนี้คือการลงทุนก่อสร้างโรงงานใหม่ 3 แห่งใน 3 ประเทศมีกำหนดสร้างเสร็จและทยอยเปิดไลน์ผลิต ได้แก่ โรงงานในอินโดนีเซียจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/62, เมียนมา ไตรมาส 3/62 และกัมพูชา ไตรมาส 4/62 รองรับเป้าระยะยาวที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศ 20-25% ภายใน 5 ปี เทียบกับปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ 13-14%
“ปีนี้บริษัทเน้นสี heavy duty หรือสีทาพื้น ปัจจุบันคู่แข่งจากโรงงานระดับเอสเอ็มอีมีเยอะ โดยกลุ่มทีโอเอมีส่วนแบ่งตลาด 48% กับตลาดเคมีก่อสร้างทำให้ตลาดรวมเติบโต ในขณะเดียวกัน บริษัทมีการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูล”
ทั้งนี้ ผลประกอบการปี 2561 มีรายได้รวม 16,347 ล้านบาท เติบโต 4% เทียบกับปี 2560 ที่มีรายได้รวม 15,717 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากสีทาอาคาร (Decorative) 11,180.5 ล้านบาท รายได้ผลิตภัณฑ์สีประเภทอื่น 4,582.9 ล้านบาท และรายได้อื่นๆ 583 ล้านบาท
นายประกรณ์ เมฆจำเริญ กรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่า กลยุทธ์ปี 2562 แบ่งเป็นกลยุทธ์การทำตลาดในต่างประเทศ เน้นโรงงานที่การก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ ได้แก่ อินโดนีเซีย เมียนมา กัมพูชา
ปัจจุบัน ทีโอเอมีช่องทางจัดจำหน่ายหลัก 2 ประเทศคือ ตลาดเมืองไทย 6,000 กว่าแห่ง กับเวียดนาม 1,000 แห่ง
โดยทิศทางปี 2562 มีแผนธุรกิจ 7 ด้านด้วยกัน คือ 1.สร้างความแข็งแกร่งในตลาดประเทศไทย 2.ขยายตลาดอาเซียน 3.เพิ่มส่วนแบ่งตลาด non-dec
4.เพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายในต่างประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น ทำงานร่วมกับคู่ค้าให้เติบโตยิ่งขึ้น 5.เป็นผู้นำด้านต้นทุน มาจากการทำครบวงจรทั้งนวัตกรรม เทคโนโลยี และ R&D 6.เพิ่มความสามารถในการกระจายสินค้ากลุ่ม non-dec และ 7.เพิ่มขีดสามารถในการผลิตสินค้า
นายประกรณ์กล่าวว่า ในอนาคตโรงงานใหม่ทั้ง 3 แห่งใน 3 ประเทศเดินเครื่องผลิต จะทำให้กำลังผลิตรวมทุกโรงงานเพิ่มจาก 88 ล้านแกลลอนเป็น 102 ล้านแกลลอน/ปี มีฐานการผลิตคลุม 7 ประเทศ แบ่งเป็นในเมืองไทย 3 แห่ง กับเวียดนาม มาเลเซีย ลาว พม่า กัมพูชา อินโดนีเซีย
+++