เปิดใช้ 16 มี.ค.นี้ สะพานข้ามทางแยกต่างระดับทับช้างจากมอเตอร์เวย์สุวรรณภูมิมุ่งหน้าบางปะอิน

นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า กรมทางหลวงจะเปิดใช้งานสะพานข้ามทางแยกต่างระดับทับช้าง ตั้งแต่ 16 มีนาคม 2562 เป็นต้นไป ซึ่งจะช่วยระบายรถในทิศทางจากทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (สนามบินสุวรรณภูมิ/ชลบุรี) มุ่งหน้าทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 (ด่านฯทับช้าง/บางปะอิน)

โดยสะพานมีขนาด 2 ช่องจราจรมาตรฐาน ผิวจราจรกว้างรวม 10 เมตร ความยาว 1,150 เมตร โครงสร้างรูปกล่องสำเร็จรูป (Segmental Box Girder) สามารถระบายรถได้สูงสุดถึง 3,000 คันต่อชั่วโมง พร้อมก่อสร้างขยายช่องจราจรตั้งแต่ทางแยกต่างระดับทับช้างถึงสะพานข้ามคลองทับช้างบนจากเดิม 8 ช่องจราจร เป็น 12 ช่องจราจร เพื่อความคล่องตัวในการเดินทาง โดยขอความร่วมมือให้เฉพาะรถเล็กใช้สะพานตัวใหม่ เพื่อความคล่องตัวของการจราจรบริเวณทางลงสะพาน ส่วนสะพานตัวเดิมยังคงเปิดใช้งานตามปกติสามารถใช้งานได้ทั้งรถเล็กและรถใหญ่

อธิบดีกรมทางหลวงเปิดเผยต่อไปว่า สำหรับสะพานข้ามทางแยกต่างระดับทับช้างเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการจราจรโครงข่ายทางหลวงพิเศษ 6 ช่วงสนามบินสุวรรณภูมิ – ทางแยกต่างระดับทับช้าง – ด่านเก็บเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางทับช้าง ซึ่งประกอบโครงการที่สำคัญ 3 โครงการ ได้แก่

1.โครงการแก้ไขปัญหาจราจรบริเวณช่วงทางออกสนามบินสุวรรณภูมิ บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ

2.โครงการก่อสร้างเพิ่มประสิทธิภาพทางแยกต่างระดับทับช้าง จะเปิดให้บริการ 16 มีนาคม 2562

3.โครงการก่อสร้างแก้ไขปัญหาจราจรและปรับปรุงระบบควบคุมงานจัดเก็บบริเวณด่านเก็บเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางทับช้าง เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการจราจรคอขวดบริเวณด่านทับช้าง 1 และก่อสร้างขยายช่องจราจรจากเดิม 8 ช่องจราจร เป็น 12 ช่องจราจร รวมถึงเพิ่มช่องเก็บเงินรถบรรทุกที่ด่านทับช้าง 1 จำนวน 2 ตู้ เพื่อลดปัญหาแถวคอยรถบรรทุกกีดขวางการจราจร โดยคาดว่าแล้วเสร็จ กลางปี 2562

ทั้งนี้เมื่อโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการจราจรโครงข่ายทางหลวงพิเศษช่วงสนามบินสุวรรณภูมิ – ทางแยกต่างระดับทับช้าง – ด่านเก็บเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางทับช้าง ก่อสร้างแล้วเสร็จ จะช่วยแก้ไขปัญหาการจราจรบริเวณจุดตัดทางแยกต่างระดับทับช้างได้เป็นอย่างดี พร้อมเพิ่มระดับการให้บริการและรองรับปริมาณการจราจรที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต อำนวยความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้ทาง รวมถึงลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุอีกด้วย