“สมคิด” เร่งพัฒนา 3 ท่าเรือปั้น “คลองเตย” ทำเลทอง ลุย “ระนอง” เชื่อมรถไฟทางคู่

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าได้เร่งรัดการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ดำเนินการลงทุน 3 โครงการสำคัญ

@เร่งพัฒนา 3 ท่าเรือ

1.โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ท่าเทียบเรือ F เงินลงทุน 84,361 ล้านบาท ได้รับการยืนยันจากผู้บริหารว่าภายในสิ้นเดือน มี.ค.นี้น่าจะคัดเลือกเอกชนได้ และในเดือน เม.ย.จะประกาศผลผู้ได้รับการคัดเลือกได้ ส่วนตัวคิดว่าจะได้ตัวผู้คัดเลือกอย่างแน่นอน จะไม่ประสบปัญหาเหมือนครั้งที่แล้วอีก

2.โครงการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) จำนวน 2,353 ไร่ กทท.ได้ชี้แจงถึงความสำคัญของทำเลดังกล่าวแล้ว ตนเห็นด้วย เพราะที่ดินตรงนั้นถือเป็นทำเลทองที่มีมูลค่าสูงมาก และเป็นจุดที่มีน้ำลึก เรือขนาดใหญ่สามารถจอดเทียบท่า เพื่อขนส่งสินค้าได้ ถือเป็นโชคดีของ กทท.ที่มาตั้งฐานอยู่ที่นี่ ทั้งนี้ยังได้กำชับเรื่องการจ้างที่ปรึกษาที่ใช้งบประมาณ 42.8 ล้านบาท จะต้องว่าจ้างที่ปรึกษาที่มีคุณภาพและมีความสามารถสูงที่สุด

อย่างไรก็ตาม นอกจากการพัฒนาแล้ว พื้นที่ดังกล่าวยังมีผู้อยู่อาศัยเดิมเป็นจำนวนมาก จึงกำชับไปว่าต้องดูแลให้ชาวบ้านเหล่านั้นสามารถอยู่อาศัยร่วมกับโครงการให้ได้และเติบโตไปด้วยกัน อย่าให้กระทบกระเทือนกับความเป็นอยู่ของประชาชน

และ 3.โครงการท่าเรือระนอง วงเงินลงทุน 5,000 ล้านบาท จะต้องพัฒนาให้ได้ โดยระยะแรกจะต้องเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟทางคู่ช่วงชุมพร – สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168.20 กม. เงินลงทุน 3.35 หมื่นล้านบาท เพื่อให้สินค้าของประเทศเราส่งออกไปทางทะเลอันดามันและกลุ่มประเทศเอเชียใต้ เช่น ศรีลังกา บังกลาเทศ และอินเดีย เป็นต้น จากนั้นในระยะที่ 2 จะต้องขยายการพัฒนาไปทางทิศใต้ของท่าเรือ เพื่อให้เรือเดินสินค้าขนาดใหญ่เข้ามาได้

@รัฐหนุนเต็มที่

“ส่วนความล่าช้าของการลงทุน ก็ไม่ต้องกลัว เพราะวันนี้มาให้กำลังใจแล้ว บางทีสิ่งดีๆ มีแต่ไม่กล้านำเสนอ เพราะไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะสนับสนุนหรือไม่ วันนี้ทาง กทท.ก็คงมั่นใจขึ้นเยอะ ขณะที่โครงการอื่นๆ ในอีอีซี ทุกอย่างอยู่ในไทม์ไลน์อยู่แล้ว และกำชับว่าทุกอย่างจะดีเลย์ไม่ได้ ภาพรวมเชื่อมโยงกันหมด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็ทำได้เร็วที่สุดแล้ว” นายสมคิดกล่าวในช่วงท้าย

@ท่าเรือฟันรายได้ 1.5 หมื่นล้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของรองนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ กทท.ได้เปิดเผยผลประกอบการในปี 2561 มีรายได้รวม 15,320 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 764 ล้านบาท จากปี 2560 ที่มีรายได้รวม 14,556 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6,227 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 230 ล้านบาท จากปี 2560 ที่มีกำไรสุทธิ 5,997 ล้านบาท

ส่วนปริมาณตู้สินค้า (TEUs) พบว่าในปี 2561 มีปริมาณตู้สินค้ารวม 9,513 TEUs แบ่งเป็นตู้สินค้าในท่าเรือแหลมฉบัง 8,016 TEUs และท่าเรือกรุงเทพ 1,497 TEUs เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่มีตู้สินค้ารวม 9,175 TEUs แบ่งเป็นตู้สินค้าในท่าเรือแหลมฉบัง 7,677 TEUs และตู้สินค้าในท่าเรือคลองเตย 1,498 TEUs